หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน






ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  พระบูชา
  พระเหรียญ
  พระผง
  เครื่องราง
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    โกเดียน ผู้ไม่เชื่อบาป..บุญ
    โกเดียน ผู้ไม่เชื่อบาป..บุญ
     
                            เรื่องของคนตายแล้วฟื้นขึ้นมา มักจะมีประสบการณ์แปลก ๆ เล่าให้หมู่ญาติที่รักนับถือตลอดจนพวกพ้องที่สนิทสนมได้ฟังเป็นอัศจรรย์มาหลายคนแล้วนั้น
                            เรื่องต่อไปนี้ดูจะน่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง เพราะคนที่สิ้นใจไปแล้วถึง 18 ชั่วโมง ผู้นี้เป็นคนจีนที่ไม่เคยศรัทธาในการทำบุญแม้แต่เล็กน้อย
                            แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนละคนไปเลยทีเดียว ด้วยแกหันมาศรัทธาในพระพุทธศาสนา ถึงกับถือศีลอุโบสถทุกวันพระ และหันมาตักบาตรทำบุญเป็นการใหญ่ จึงน่าจะได้นำมาเล่าสู่กันฟังดูบ้าง
     
    งานศพโกเดียน
     
                            เย็นวันหนึ่งเมื่อประมาณสิบปีมาแล้ว ข้าพเจ้าได้ทราบว่าโกเดียน สามีแม่คำ เจ้าของโรงเลื่อยมือเหนือตลาดได้ตายเสียแล้วเมื่อตอนบ่าย ด้วยโรคลมปัจจุบัน จึงได้ไปแสดงความเสียใจกับภรรยาของผู้ตาย และได้ช่วยเงินเล็กน้อยตามประเพณี
                            และตั้งใจไว้แต่เดิมว่า คืนวันนี้จะต้องอยู่เป็นเพื่อนศพ เพราะผู้ตายกับภรรยาเป็นผู้ที่ข้าพเจ้านับถือมาก ทั้งคนในตำบลนี้ก็นับถือมากเช่นกัน ด้วยแกเป็นผู้มีน้ำใจโอบอ้อมอารีไม่เลือกชั้นวรรณะบุคคล
                            คืนวันนั้นจึงมีผู้คนมาช่วยงานศพกันอย่างคับคั่ง ส่วนศพนั้นเจ้าภาพได้จัดการรดน้ำใส่โลงไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ตอนเย็น
                            ครั้นได้เวลาประมาณทุ่มเศษ พระก็มาสวดหน้าศพ ซึ่งตามปกติผู้ตายไม่เคยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเลย
                            แม่คำเคยปรารภกับเพื่อนบ้านอยู่เนือง ๆ ในเรื่องสามีของแกว่า “ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน”
                            แม่คำเป็นคนที่นับถือศรัทธาในพระพุทธศาสนา ต้องประสบความอัดอั้นตันใจตลอดมา ได้แต่เคยฝากของไปร่วมทำบุญกับญาติพี่น้อง นาน ๆ สักครั้งหนึ่ง ถึงแม้โกเดียนจะรู้ก็ไม่ว่าอะไร แต่ไม่สนับสนุน แม่คำจึงเกรงใจอยู่
                            ศพของโกเดียนนั้น เนื่องจากรอญาติที่อยู่ห่างไกล จึงต้องเก็บไว้รอญาติอีก 3 คืน ข้าพเจ้าได้นั่งฟังพระสวดพระอภิธรรมด้วย จนได้เวลาดึกสงัดก็แก้ง่วงด้วยการเข้าวงเหล้าบ้าง วงหมากรุกบ้าง พอหมดเวลาพระสวด ท่านก็กลับวัด ข้าพเจ้าก็หลบเข้าไปหาแม่ครัวซึ่งเพิ่งจะลุกเข้ามาทำครัวยามดึก สำหรับไว้เลี้ยงพระตอนเช้า ค่อยหายง่วงด้วยการหยอกล้อกันไป และได้ช่วยเขาทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนรุ่งสว่าง
                            พอช่วยกันจัดการถวายจังหันพระตอนเช้าเสร็จแล้ว เวลาสองโมงเศษพระท่านก็กลับ พวกเราก็เริ่มตั้งวงสุราอาหารเลี้ยงกันในหมู่พวกที่เข้ามาช่วยงาน แต่ในวงของข้าพเจ้าออกจะคุยครึกครื้น เพราะล้วนแต่คอดี ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่ตั้งวงห่างหีบศพไม่ถึงศอก แต่ก็ไม่มีกลิ่นรบกวน
     
    เสียง กุก ๆ
     
                            ครั้นเวลาล่วงเลยไปได้สักครู่ใหญ่ บางคนก็อิ่มแล้ว แต่ก็ยังนั่งคุยเป็นเพื่อนอยู่ ข้าพเจ้าก็อิ่มเหมือนกัน แต่ยังคงนั่งที่นั้น สักประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียง กุก ๆ
                            เสียงนั้นดังออกมาจากหีบศพด้านหลัง จึงคิดว่าหูเฝื่อนไปเพราะฤทธิ์สุรา จึงรวมความรู้สึกแล้วเงี่ยหูฟัง
                            “กุก ๆ” แน่แล้ว เสียงดังอยู่ในหีบศพ จึงหันไปดูข้างหลังก็ไม่เห็นมีอะไร ข้าพเจ้าจึงหันไปดูพวกที่อยู่ข้างเคียง เขาก็หันกลับมาเช่นกัน และต่างฝ่ายต่างก็มองดูตากัน
                            ยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียง กุก ๆ ก็ดังขึ้นมาอีก พร้อมการเคลื่อนไหวดังออกมาจากโลงศพ เสียงที่คุยกันอยู่โขมงโฉงเฉงเงียบกริบลงทันที เพราะทุกคนคงได้ยินกันทั่วหมดแล้ว 
                            ข้าพเจ้าชักจะหายมึน ค่อยขยับตัวออกมาห่าง ๆ คนอื่นก็เช่นกัน และต่างมองดูตากันลอกแลก ข้าพเจ้าคิดว่า โกเดียนนี่แกเฮี้ยนถึงขนาดแสดงฤทธิ์ในเวลากลางวันแสก ๆ ทีเดียวหรือนี่
                            ทันใดนั้น เสียง กุก ๆ ก็ดังขึ้นมาอีก ทุก ๆ คนลุกขึ้นยืนจับกลุ่มทันที แม้แต่ลุงวัน สัปเหร่อที่นั่งร่วมอยู่ด้วยก็ถอยห่างออกจากกลุ่มแล้วเอ่ยขึ้นว่า
                            “เอ๊ะ โกเดียนเอาแน่หรือหวา”
                            พอขาดคำเสียงจอแจก็ดังแซดไปหมด
                            “เบา ๆ ก่อน กลางวันแสก ๆ แท้ ๆ คนตั้งเยอะแยะทำตื่นขึ้นไปได้” ลุงสุก ผู้อาวุโสผู้เคร่งในธรรมห้ามปราม เสียงที่จอแจค่อยสงบลง
     
    เข้าไปดูให้รู้แน่
                           
                            กุก ๆ พร้อมกับเสียงดิ้นในหีบศพดังขึ้นอีก
                            “เฮ้ย วัน เข้าไปดูกับข้าเหอะว่ามันเป็นอะไรกันแน่” ลุงสุกว่า แล้วเดินไปหาหีบศพ
                            ลุงวันก็ไม่พูดว่าอะไร เดินตามเข้าไปติด ๆ
                            เมื่อคนทั้งสองลุกเดินเข้าไปนั้น พวกเราก็เคลื่อนกลุ่มตามเข้าไปห่าง ๆ ข้างหลังกลุ่มผู้ชายก็เป็นกลุ่มผู้หญิง
                            พอคนทั้งหมดมารวมกันแล้ว ข้าพเจ้าค่อยได้สติ รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา จึงค่อย ๆ ก้าวล้ำหน้าพวกเขาไปอย่างครึ่งกลัวครึ่งกล้า
                            พอสองเฒ่าถึงหีบศพ ก็เอื้อมมือเปิดผ้าขาวที่ใช้คลุมบนหีบแทนฝาหีบที่ยังไม่ได้เอามาผนึก ข้าพเจ้าต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะมีมือใครคนหนึ่งมาจับแขน รีบหันไปดูเห็นแม่คำยืนเกาะหลัง  จึงค่อยโล่งใจ แม่คำเองก็คงอยากไปดูใกล้ แต่ไม่กล้า ลุงวันกับลุงสุกก้มมองในหีบศพ ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจตรงเข้าไป โดยมีแม่คำเกาะหลังไปด้วย
                            พอจวนจะถึงลุงวันก็เงยหน้าขึ้นมาพูดละล่ำละลักว่า “ถ้าจะฟื้นจริง ๆ โว๊ย”
                            ลุงสุกก็เงยหน้าขึ้นพูดสนับสนุน ข้าพเจ้ากับแม่คำก็รีบเดินเข้าไปดูทันที
                            แลเห็นโกเดียนนอนทำตาปริบ ๆ ปากพะงาบ ๆ แต่ไม่ได้ยินเสียง เพราะเสียงนั้นเบามาก ซ้ำยังเสียงจอแจที่ดังจากกลุ่มคนมากลบเสียอีก แม่คำเห็นภาพเช่นนั้นก็ซัดออกมาโฮใหญ่ คงจะเป็นด้วยความปีติอย่างสุดซึ้ง
     
    เอ้า..ช่วยกัน
     
                            คราวนี้ทุกคนก็ทำท่าจะเฮเข้ามา แต่ลุงสุกชิงห้ามปรามเอาไว้ว่า “เบา ๆ ก่อน ถอยออกไป ประเดี๋ยวก็ได้เห็นกันดอกน่า”
                            พลางหันมาพยักหน้าให้ข้าพเจ้ากับลุงวัน บอกว่า “เอ้า ช่วยกันยกขึ้นเถิด”
                            ลุงวันเข้าทางศีรษะ ลุงสุกเข้าทางเท้า ข้าพเจ้าตกหน้าที่ตอนกลางตัว ค่อย ๆ ยกคนที่ฟื้นขึ้นมาจากการตายไปแล้วถึง 18 ชั่วโมงเศษ กลับฟื้นขึ้นมาอีก ออกจากโลงด้วยความรู้สึกที่ว้าวุ่น คล้ายกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แลเห็นกับตาแท้ ๆ
                            พอวางโกเดียนลงกับพื้นกระดาน ลุงวันยังประคองศีรษะอยู่ แกจึงอยู่ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอน
                            ลุงสุกหันไปทางแม่คำ เห็นยืนสะอื้นฮัก ๆ ก็เลยบอกว่า
                            “แม่คำไปเอาฟูกมาเร็ว”
                            แม่คำจึงได้สติ วิ่งไปขนฟูกมาปู และมีคนมาช่วยอีกสองคน
                            ลุงสุกหันมาทางข้าพเจ้าพลางบอกว่า “เอ้า ช่วยกันแก้ด้ายตราสังข์เถอะ”
                            ข้าพเจ้ารีบเข้าไปแก้เชือกด้ายดิบที่มัดโกเดียน บางคนที่กล้าก็รีบผละออกจากกลุ่มคน ตรงเข้ามาช่วย แต่การแก้ด้ายตราสังข์นั้นรู้สึกช้ามาก เพราะเขาผูกเอาไว้ ข้าพเจ้านึกถึงมีดพับที่เอวได้ จึงรีบเอามาตัด ประเดี๋ยวก็ขาดหมด แล้วค่อยประคองโกเดียนขึ้นไปนอนบนฟูกตามสบาย
                            โกเดียนยังนอนทำตาปริบ ๆ ปากพะงาบ ๆ อยู่ ลุงสุกจึงหันไปบอกคนให้เบาเสียงและอย่าได้เข้ามาห้อมล้อม เพราะจะทำให้อากาศอบอ้าว แล้วก้มลงตะแคงหูฟังที่ตรงปากโกเดียน และเงบหน้ามองมาที่ข้าพเจ้า สั่งว่า
                            “ไปตักน้ำมาเร็ว ๆ หน่อย”
                            ข้าพเจ้ารีบหยิบแก้วน้ำเติมน้ำแล้วส่งให้ลุงสุกค่อย ๆ ประคองศีรษะขึ้น จ่อแก้วน้ำที่ปากโกเดียน พลางพูดพอได้ยินว่า
                            “ค่อย ๆ กินแต่น้อย ๆ ก่อน”
                            โกเดียนพยักหน้าช้า ๆ อย่างระโหยโรยแรง แสดงความเข้าใจ
                            แต่พอกินน้ำไปได้สักหน่อยก็ทำปากพะงาบ ๆ อีก ลุงสุกก้มลงไปฟัง แล้วหันไปบอกแม่คำว่า
                            “ให้คนไปต้มข้าวเร็ว ต้มแต่น้อยจะได้สุกเร็ว ๆ “
                            แม่คำลุกขึ้นวิ่งไปบอกคนให้ต้มข้าวโดยเร็ว แล้วรีบกลับเข้ามานั่งอยู่ข้าง ๆ
     
    คุณหมอยังแปลกใจ
     
                            ข้าพเจ้าแสนที่จะประหลาดใจ พลันนึกถึงหมอ จึงได้แนะนำให้คนไปตามหมอเพื่อมาควบคุมอาการ แกก็เห็นด้วยและขอร้องให้ข้าพเจ้ารีบไปตามทันที
                            ข้าพเจ้ารีบไปหาร้อยโทชุบ แพทย์แผนปัจจุบัน ประจำอยู่สุขศาลาเทศบาลและเล่าให้ฟัง คุณหมอชุบประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อทราบเรื่องโดยตลอดแล้ว เพราะท่านยืนยันว่าได้ตรวจอาการของโกเดียนอย่างละเอียดแล้วว่าตายแน่ ๆ โดยเมื่อวานนี้เองที่แม่คำมาเชิญไปรักษา แต่โกเดียนสิ้นใจเสียก่อน ถึงกระนั้น คุณหมอก็รีบคว้ากระเป๋ายามาพร้อมกับข้าพเจ้าโดยด่วน
                            เมื่อมาถึงก็ได้ทำการตรวจอย่างละเอียดละออ พร้อมกับฉีดยาบำรุงหัวใจให้หนึ่งเข็ม และบอกว่าอาการอยู่ในขั้นดีมาก แต่ชีพจรยังอ่อนอยู่เท่านั้น เมื่อได้พักผ่อนบำรุงกำลัง อีกไม่ช้าก็จะเป็นปกติ ต่อมาอีกสักครู่  ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนเพลียมาก เพราะต้องอดนอนมาตลอดคืน ทั้งยังตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้ลาเจ้าภาพกลับบ้าน
                            ตลอดทางเสียงโจษจันเรื่องตายแล้วฟื้น ของโกเดียนเซ็งแซ่ไปทั่วทุกแห่ง พอไปถึงบ้านกว่าจะเข้านอนก็ต้องเล่า เรื่องให้พวกที่บ้านฟังเสียก่อนรอบหนึ่ง จึงเข้านอนได้
                            ตอนเย็นวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปถึงบ้านโกเดียนเห็นเขากำลังพยาบาลกันด้วยวิธีประคบตามแขนและขา ดูหน้าตาสดชื่นขึ้นมาเกือบเหมือนปกติแล้ว
                            เห็นคุณหมอยังควบคุมอาการอยู่ และบอกว่าชีพจรเกือบเป็นปกติทั้งได้ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า โกเดียนไม่ได้สลบ เพราะได้ตรวจโดยละเอียดว่า ตายไปแล้วอย่างแน่นอน ไม่มีปัญหา ชีพจรหยุดเต้นไปนานแล้วด้วย ข้าพเจ้าจึงขอให้แม่คำเล่าสาเหตุก่อนตายให้ฟัง
     
    สาเหตุก่อนตาย
     
                            แม่คำแกเล่าว่าในตอนบ่ายวันนั้น เมื่อโกเดียนกลับบ้าน บ่นปวดศีรษะ แล้วเห็นนอนเล่นอยู่พักหนึ่งจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ หากไปสักครู่ก็ได้ยินเสียงตึงใหญ่ แกได้รีบวิ่งเข้าไปดูแลเห็นโกเดียนนอนพับอยู่ที่ข้างโอ่งน้ำ แกตกใจมากได้รีบเข้าประคอง และตะโกนเรียกให้คนมาช่วยพาไปห้องนอน แล้วให้ดมยาและกินยา พลางบอกคนในบ้านให้รีบไปตามคุณหมอชุบมาโดยเร็ว แต่เมื่อคุณหมอมาตรวจอาการเสร็จก็บอกว่า ไม่ทันกาล โกเดียนสิ้นใจเสียแล้ว เป็นอันหมดหนทางที่จะแก้ไข
                            แกก็ได้แต่ร้องไห้เสียใจเป็นอันมาก เพราะปุบปับก็มาตายโดยที่มิได้รักษาพยาบาลกันเลย ข้าพเจ้านั่งอยู่อีกพักหนึ่งจึงลากลับ เพราะมีเพื่อนบ้านพากันมาเยี่ยมเยือนมากมาย ทั้งมีญาติของโกเดียนที่เพิ่งจะมาถึง เต็มไปด้วยผู้คน ลุงวันกับลุงสุกก็มาอยู่โดยพร้อมเพรียง โกเดียนลุกขึ้นนั่งคุยได้แล้ว ข้าพเจ้าก็เข้าไปพลอยแสดงความยินดีกับแก เมื่อคุยเรื่องต่าง ๆ ไปได้สักพักใหญ่ ข้าพเจ้าก็เอ่ยถามแกว่า
                            “เมื่อตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาดังนี้ รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม หรือเหมือนกับคนนอนหลับไป”
                            โกเดียนแกบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย คล้ายกับนอนหลับไป แต่คงจำเรื่องประหลาดคล้าย ๆ กับฝันได้ดี
                            ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้แกเล่าให้ฟัง ทุก ๆ คนที่นั่งอยู่ด้วยกันก็สนับสนุน แกจึงได้เริ่มเล่าเรื่องให้ฟังอย่างช้า ๆ ว่า
     
    คนนุ่งดำนำตัวไป
     
                            วันนั้น แกไปดูเรือนที่แกรับเหมาปลูกสร้างที่ข้างตลาด จนได้เวลาบ่าย รู้สึกปวดศีรษะจึงกลับบ้าน กินยาแอสไพรินสองเม็ดแล้วนอนพักไปครู่หนึ่ง เกิดปวดปัสสาวะจึงลุกไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่ทำธุระจวนจะเสร็จรู้สึกหน้ามืด รีบใช้มือเท้ายันโอ่งน้ำข้าง ๆ ต่อจากนั้นก็หมดความรู้สึก จะนานสักเท่าใดก็ไม่ทราบ มารู้สึกตัวอีกทีจึงลุกขึ้นยืนรู้สึกตัวเบาหวิวและมึน            
                            ในขณะนั้นก็พอดีมีคนสามคนเดินตรงเข้ามาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเนื้อดำแดง สองคนนุ่งดำห่มดำ   อีกคนหนึ่งนุ่งขาวห่มขาวโพกผ้าแดง ซึ่งแกไม่รู้จักมาก่อนเลย
                            พอจะเอ่ยปากถาม คนสองคนที่นุ่งดำห่มดำก็ตรงเข้าปล้ำจับแขนแกแน่น แล้วดึงตัวแกไปทันที ส่วนคนที่นุ่งขาวเดินนำหน้า แกสะบัดพลางดิ้นพลางจะให้หลุด พร้อมทั้งถามว่า
                            “เรื่องอะไรกัน จึงได้ฉุดคร่าเอาตัวไป”
                            ก็ไม่มีใครตอบ เขายังฉุดคร่าไปท่าเดียว
                            แกเห็นว่าดิ้นไม่หลุดแน่แล้วจึงร้องตะโกนให้คนช่วย เพราะแกแลเห็นคนบนเรือน เดินไปเดินมากันชุลมุน แต่ก็ไม่เห็นมีใครเอาใจใส่กับเสียงร้องของแกเลย จนเขาลากแกมาถึงบ้านสวนทางกับคุณหมอชุบที่กำลังจะเดินเข้าบ้าน แกก็ร้องให้คุณหมอช่วย   แต่ไม่ได้ผล คุณหมอคงเดินเข้าบ้านอย่างรีบร้อน ไม่เอาใจใส่อะไรเลย แกชักหมดอาลัยตายอยากจึงหยุดดิ้น แล้วกล่อยให้เขาพาเอาตัวไปตามสบาย
     
    เมื่อรู้ตัวว่าตาย
     
                            แกคิดต่อไปว่า ทำไมหนอคนเหล่านั้นจึงไม่ได้เอาใจใส่กับเสียงของแกเสียเลย คล้าย ๆ กับไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ทางที่เขาพาแกไปก็เป็นหนทางที่แกไม่เคยเห็นในเขตชุมแสงนี้เลย เป็นทางใหญ่เตียนเรียบลิ่ว แลดูเปลี่ยวเงียบเหงาวังเวง
                            ข้างหน้าลิบ ๆ แลเห็นคนถูกคุมตัวอย่างแกเป็นหมู่ ๆ ทุกคนเดินก้มหน้า ท่าทางโศกเศร้า “หรือเราตายแล้ว” แกคิดวนเวียนไปมาจนถึงทางแยก เขาพาแกเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ทางนี้ดูค่อยมีผู้คนมากหน่อย ทั้งมีบ้านเรือนคับคั่ง แกพบคนเดินสวนทางไปก็ตกใจร้องออกมาว่า
                            “เอ๊ะ นั่นทิดชุ่มที่ตายไปเมื่อ 6-7 ปีนี้เองนี่หว่า”
                            แกยิ่งตกใจหนักขึ้นว่าทำไมตัวจึงมาอยู่ที่นี่ แกจำได้ว่า ทิดชุ่มไปซื้อโลงศพที่แก และยังไม่ได้ไปเผาเขาเลย ยังงั้นที่นี่ก็เป็นเมืองผีอย่างแน่นอน พอแกคิดได้เช่นนั้น ก็ร้องไห้โฮ รู้ว่าตัวตายแน่แล้ว
                            สักประเดี๋ยวเขาก็พาแกมาถึงสนามหญ้าที่หน้าตึกใหญ่ เห็นมีคนนั่งอยู่เป็นหมู่ ๆ เต็มไปหมด ล้วนแต่มีหน้าตาซูบซีดหงอยเหงาเป็นส่วนมาก แล้วเขาก็ผลักแกเข้าไปในสนามหญ้าข้างคนหมู่หนึ่ง ส่วนเขาก็เดินเลยเข้าไปในตึกใหญ่อย่างไม่เอาใจใส่กับแกเลย
                            โกเดียนทรุดตัวลงนั่งพักเหนื่อยสักครู่ พอหายแล้วก็รู้สึกหิวและกระหายน้ำเป็นกำลัง แกจึงคิดหาทางแก้ไขโดยลุกขึ้นเดินไปตามหมู่คนต่าง ๆ บางหมู่ก็มีคนมาก บางหมู่ก็มีคนน้อย
                            คนหมู่ใด ถ้ามีข้าวปลาอาหารอยู่ข้าง ๆ ตัว ก็มีหน้าตาผ่องใส บางหมู่มีแต่กองกระดาษเผา คล้าย ๆ กับกระดาษเงินกระดาษทองที่แกเคยเผาไหว้เจ้า ถึงหมู่ที่แกนั่งก็เช่นกัน ไม่มีข้าวและน้ำเลย นอกจากกองกระดาษที่เผาไฟ แกจะเข้าไปขอน้ำหรือ กลุ่มคนที่ผ่านมาก็ไม่มีใครรู้จักกันเสียเลย จึงไม่กล้าขอ ได้แต่เดินดูต่อไป
                            เมื่อผ่านมาถึงอีกหมู่หนึ่ง และเห็นมีข้าวน้ำบริบูรณ์ตั้งอยู่เต็มสำรับเพียบแปล้ แกก็เดินตรงเข้าไปด้วยความดีใจ เพราะจำได้แน่ ๆ ว่า คนที่นั่งอยู่ข้างสำรับเป็นคนชอบพอกันดี เพิ่งจะตายไปใหม่ ๆ ยังไม่ได้ไปเผาเลย คนผู้นั้นคือ ลุงเอี่ยม มัคทายก วัดคลองระนงค์นั่นเอง
                            เมื่อแกเดินตรงเข้าไปหา ลุงเอี่ยมก็ยิ้มแย้มอิ่มเอิบเป็นอย่างดี พร้อมทั้งร้องทักว่า “มาเหมือนกันหรือนี่”
                            แกบอกว่ามาถึงเมื่อกี้นี้เอง แล้วก็ทรุดลงนั่งข้าง ๆ พลางบอกลุงเอี่ยมว่า
                            “แหม เหนื่อยจัง หิวเสียด้วย ของอั๊วไม่มีกินเลย”
                            พลางมองไปทางสำรับ และคิดว่าต้องขอกินบ้าง ลุงเอี่ยมพยักหน้ารับรู้ แกจึงถามว่า “นั่นของลื้อเหรอ” แล้วชี้มือไปที่สำรับ
                            ลุงเอี่ยมตอบว่า “ของอั๊วเอง”
                            “ขอกินบ้างได้ไหม หิวจัง”
                            “ลื้อกินมันไม่ได้หรอก ของใครของมัน ให้กินกันไม่ได้ ของลื้ออยู่โน่นไงล่ะ” พลางชี้มือไปที่กองกระดาษเผาไฟอยู่ข้าง ๆ นั่นเอง
                            “กินเข้าไปได้อย่างไร” โกเดียนอุทานอย่างตกใจ แต่ลุงเอี่ยมไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะหึ ๆ
                            แกคิดว่าลุงเอี่ยมอาจจะล้อเล่นก็ได้ คนชอบพอกัน หากจะหยิบกินดื้อ ๆ ก็จะเป็นไรไป ผสมกับความหิวโหยเป็นอันมาก โกเดียนจึงเอื้อมมือไปหยิบขันน้ำ แต่แกต้องรีบหดมือมาเป่าทันที เพราะร้อนเหมือนหยิบเอาไฟทั้งดุ้น
                            แกจึงหันหน้าไปมองลุงเอี่ยมที่นั่งยิ้มไม่พูดจาว่ากระไร ทั้ง ๆ ที่แกเห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงถามไปว่า “ร้อนอย่างนี้ กินได้หรือ”
                            “กินได้ซี” พูดขาดคำ ลุงเอี่ยมก็หยิบขันน้ำขึ้นมาดื่มต่อหน้าอย่างปกติ พอวางขันลงแล้วแกจึงบอกว่า
                            “ไม่ใช่อั๊วหวงลื้อดอก มันเป็นของใครของมัน ใครทำบุญมาอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น”
     
    บอกแล้วไม่เชื่อ
     
                            โกเดียนได้เห็นได้ฟังแล้วรู้สึกสงสัยยิ่งนัก แล้วแกก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนนี้ลุงเอี่ยมเคยแนะนำให้แกทำบุญเลี้ยงพระตามอย่างคนอื่นเขา แต่แกไม่เลื่อมใส ซ้ำยังพูดกับลุงเอี่ยมว่า
                            “เอาไปให้พระกินทำไม กินเองมิดีกว่าหรือ”
                            ลุงเอี่ยมยังบอกว่า “ทำบุญเอาไว้กินเมื่อตายอย่างไรเล่า”
                            แกฟังแล้วกลับหัวเราะ แล้วย้อนถามไปอีกว่า
                            “ลื้อถ้าจะเห็นพระเป็นคลังหรือเป็นไปรษณีย์ละซี”
                            แกคิดว่าลุงเอี่ยมจนท่าแล้ว แต่ลุงเอี่ยมกลับตอบมาฉิว ๆ ว่า
                            “ตามใจลื้อ เมื่อไม่เชื่อก็แล้วไป”
                            แล้วโกเดียนก็ไหว้เจ้าเผากระดาษเงินกระดาษทองต่อไปตามความเชื่อของแก
                            ครั้นมาบัดนี้ แกมีความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่ไม่เชื่อคำแนะนำของลุงเอี่ยม จึงต้องประสบกับความอดอยากยากแค้นถึงเพียงนี้ ถ้าแกต้องไปอยู่สภาพเช่นนี้อีกนาน   ก็คงจะเป็นการทรมานอย่างแสนสาหัส กระดาษเผาไฟจะกินเข้าไปได้อย่างไร ถ้าหากขืนกินเข้าไป ก็เหลือจะฝืนแล้ว
     
    จับผิดตัว
     
                            พอดีมีคนมาตามลุงเอี่ยม ๆ ถามเขาว่าจะพาไปไหน แล้วก็เดินตามเขาเข้าไปในตึกหลังใหญ่ที่มีคนเดินเข้าเดินออกกันอยู่เสมอ แกก็ได้แต่นั่งนึกถึงเรื่องอาหาร
                            เมื่อผจญภัยกับความหิวโหยไปได้สักครู่หนึ่ง ก็มีคนมาตามตัวแกไปอย่างลุงเอี่ยม ภายในตึกที่แกเดินผ่านเข้าไปนั้น แลเห็นคนอยู่มากมาย เขาพาแกเลี้ยวไปทางขวา ตรงไปที่โต๊ะใหญ่กลางห้อง
                            บนโต๊ะมีสมุดวางซ้อนทับกันอยู่หลายเล่ม มีชายสามคนนั่งอยู่ด้านหนึ่ง สองคนมีสมุดเปิดตรงหน้า อีกคนหนึ่งนั่งอยู่เฉย ๆ แล้วกดตัวแกให้นั่งลงกับพื้น และพอแกนั่งลงเรียบร้อย   คนที่นั่งกลางก็เอ่ยปากถามว่า
                            “แกชื่ออะไร”
                            “ชื่อโกเดียนครับ”
                            “อายุเท่าไร”
                            “42 ปีครับ”
                            “เมียชื่ออะไร”
                            “ชื่อคำ ครับ”
                            เขาถามเพียงเท่านั้นก็หยุดซักไซร้ แล้วหันไปถามคนที่นั่งขวามือว่า
                            “ถูกไหม”
                            คนที่ถูกถามก็ตอบว่า 
                            “ไม่ถูก ต้องชื่อเคียน อายุ 39 ปี เมียชื่อใบ”
                            “อ้าว ก็ผิดตัวละซี”
                            แล้วคนนั่งกลางก็หันไปสั่งคนที่นั่งซ้ายมือว่า “ให้พาตัวไปส่งโดยเร็ว”
     
    เมื่อถูกส่งตัวกลับ
     
                            พอเขาสั่งกันขาดคำ ชายคนหนึ่งที่นั่งซ้ายมือ ก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาฉุดแขนแกให้ลุกขึ้นยืน แล้วพาแกเดินไปจนถึงประตูตึก
                            เขาเรียกใครคนหนึ่งซึ่งนุ่งผ้าดำเหมือนกัน แต่เป็นคนละคนกับที่ฉุดแกออกจากบ้าน พลางบอกคนนั้นว่าให้พาตัวไปส่งโดยเร็ว
                            เมื่อบอกแล้วเขาก็เดินกลับเข้าข้างใน แล้วชายคนใหม่ก็พูดว่า “เดินตามมาซิ”
                            แล้วตัวเขาก็เดินนำหน้าไป แกก็เดินตาม แต่ทางนี้แกจำได้ว่าไม่ใช่หนทางเดิมที่พามาทีแรก เพราะรกและเปล่าเปลี่ยวมากไม่พบปะผู้คนเลยจนตลอดทาง
                            พอเดินมาได้สักครู่ ก็พบโครงกระดูกควายขาวโพลนไปหมด ทั้งดูจะเก่ามากด้วย ตรงที่ชายโครงมีน้ำขังอยู่ ด้วยความหิวกระหายน้ำจัดเป็นกำลัง โกเดียนไม่คิดอะไรทั้งสิ้น แกหยุดทรุดตัวลงตั้งใจจะวักน้ำกินเท่านั้น แต่พอแกเอื้อมมือจะถึงน้ำอยู่แล้ว แกรู้สึกคล้าย ๆ ถูกผลักหัวคมำลง มืดหน้าวูบ แล้วหมดความรู้สึกไป
     
    ความรู้สึกตอนฟื้น
     
                            แกตกใจสะดุ้งก็รู้ตัวว่า ถูกมัดจนขยับตัวไม่ได้ จึงลืมตาดูก็รู้ตัวว่ามานอนในโลงผี และได้ยินเสียงคนพูดข้าง ๆ ขณะนั้นรู้สึกอ่อนเพลียและหิวกระหายมาก ครั้นจะร้องตะโกนก็ไม่มีเสียง ครั้นจะลุกขึ้นนั่งก็ไม่มีแรง ซ้ำยังถูกมัดเสียแน่นหนา จึงไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ลงขยับตัวก็รู้ว่าแขนเท่านั้นที่พอเคลื่อนไหวได้บ้าง แล้วแกก็ขยับตัว ข้อศอกไปกระทบกับฝาโลงเสียงดังกุก ๆ แกก็ดีใจ
                            จึงพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดดิ้นอยู่หลายครั้งจนแทบจะหมดแรง ใจสั่นระริก จึงได้มีคนมาเปิดฝาโลงแล้วช่วยยกเอาตัวแกขึ้นมา
                            แกบอกต่อไปว่า เป็นอันเลิกไหว้เจ้าเผากระดาษเงินกระดาษทองเป็นแน่แท้
     
    มืดมาสว่างไป
     
                            นี่เป็นคำบอกเล่าของโกเดียนผู้ตายไปแล้ว 18 ชั่วโมงเศษ แล้วกลับฟื้นขึ้นมาเล่าเรื่องประหลาดให้ฟัง
                            สิบกว่าปีมาแล้ว โกเดียนไม่เคยขาดการใส่บาตรตอนเช้าเลย ตลอดจนทุกวันนี้ ต่อมาหลังจากที่แกฟื้นแล้ว 5-6 เดือน แกได้บวชในพระพุทธศาสนาพรรษาหนึ่ง 
                            ปัจจุบันท่านจะพบอุบาสกโกเดียน และอุบาสิกาคำ แซ่จิว ทุกวันพระ ณ วัดคลองระนงค์ อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์
     
    จากหนังสือธรรมสัญจร เล่ม 4

    • Update : 29/4/2554
    © Copyright 2011 www.watbangwaek.com All rights reserved