หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน






ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  พระบูชา
  พระเหรียญ
  พระผง
  เครื่องราง
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    วันฮาโลวีน ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี

    วันฮาโลวีน ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี

              คำว่า "Halloween" มาจากคำของคริสตังคาทอลิกดั้งเดิม คือ เย็นวันสุกดิบก่อนฉลองนักบุญทั้งหลาย (All Hallow's Day หรือ All Saint's Day) เขาเขียนว่า "Hallow's Evening" (เย็นวันสุกดิบของวันฉลองนักบุญทั้งหลาย) และก็กลายเป็น "Hallow's e'en" จนกลายเป็น "Halloween" ในที่สุด แท้จริงในทางพิธีกรรมคาทอลิกของเรา คริสตังจะมีธรรมเนียมที่พระสงฆ์จะต้องถวายมิสซา 3 มิสซา ในวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ นั่นคือ มิสซาเย็นก่อนวันที่ 2 พฤศจิกายน, มิสซารุ่งอรุณวันที่ 2 พฤศจิกายน และมิสซา เช้าหรือสายของวันที่ 2 พฤศจิกายน พระสงฆ์จะถวายมิสซาทั้งสามในวันที่ 2 พฤศจิกายน ทั้ง 3 มิสซาเลยก็ได้ เพียงแต่มิสซาแรกของเย็นก่อนวันที่ 2 ทำให้มีความคล้ายคลึงกับธรรมเนียมโบราณของคริสตังไอริชที่จะคิดถึงผู้ล่วงลับอื่นๆ ก่อนวันฉลองนักบุญทั้งหลายส่วนในวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (รวมทั้งบรรดาคริสตังผู้ล่วงลับผู้ที่ได้รับชัยชนะอยู่บนสวรรค์ทุกคน)

     วันฮาโลวีน (Halloween) จะฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ในประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือการแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)
         การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน

    การปฏิบัติในคืนวัน "ฮาโลวีน"
     พวกเด็กๆ จะสนุกสนานมากในคืนวัน "ฮาโลวีน" เพราะพวกเขาจะได้แต่งตัวเลียนแบบคนตาย เช่น เป็นโจรสลัด, กัปตัน, โครงกระดูก, หญิงในสมัยโบราณ หรือสุดจะคิดค้นกันขึ้นมาอย่างในสมัยปัจจุบัน และก็เดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อขอขนม, ลูกกวาด ฯลฯ โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกฟักทองล้วงเนื้อออกเพื่อใส่เทียนเข้าวางไว้ และจะมีแสงสว่างออกมาจากรูจมูก, ลูกตาและปากที่เจาะไว้บนลูกฟักทอง ตั้งไว้หน้าบ้าน เด็กๆ จะเคาะประตูและเมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตู พวกเขาก็จะร้องทักว่า "Trick or Treat" ซึ่งเด็กๆ ทั่วไปก็เป็นเพียงคำพูดไร้เดียงสา เพื่อพูดตามธรรมเนียมการขอขนม พวกเขาไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของมัน เพราะว่าคำว่า "Trick or Treat" คำนี้ เป็นคำคล้ายคำพูดของพวกบูชาลัทธิปีศาจ ทำนองว่า ทำสนธิสัญญาตกลงกับมันหรือไม่ก็จะมีการล่อลวงเพราะพวกเด็กๆ จะแต่งตัว เป็นผู้ล่วงลับหรือผี ก็มาขู่เจ้าของบ้าน เด็กๆ ไม่เข้าใจความหมาย แท้จริง ก็เลยพูดกันมาตามธรรมเนียม และพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร เพียงแต่สนุกสนานเท่านั้น พวกเจ้าของบ้านเมื่อเอาขนม, ลูกกวาดออกมาให้แล้ว บางแห่งก็จะมีการร้องเพลงให้แก่บ้านนั้น ซึ่งบางแห่งดั้งเดิมก็จะสวดภาวนาให้แก่เจ้าของบ้าน หรืออุทิศแด่วิญญาณผู้ล่วงลับ เราไม่จำเป็นต้องทำให้เด็กเสียความรู้สึกกับคำว่า "Trick or Treat" แต่ควรสอนเด็กๆ ว่า ปีศาจซ่อนเร้นอยู่ในรูปภายนอกที่ดูสวยงามคอยหลอกลวงเรา คล้ายมันใส่หน้ากาก หลอกลวงผู้คนเพื่อปิดบังโฉมหน้าแท้จริงของมัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราทั้งหลายรู้ว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา เราทั้งหลาย รู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า และโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย" ธรรมเนียมการขอขนมก็มาจากประเทศอังกฤษอีกธรรมเนียมหนึ่ง คือ ธรรมเนียมวัน "กี ฟอว์เก" อันเป็นวันฉลองต่อต้านพวกคาทอลิกในประเทศอังกฤษ "กี ฟอว์เก" เป็นคนไม่รอบคอบแต่มีหน้าที่ดูแลคลังดินปืน ที่วางแผนจะระเบิดรัฐสภาของอังกฤษ และกษัตริย์เจมส์ ที่ 1 ทรงรู้เข้าเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1605, นาย "กี ฟอว์เก" ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ช่วงนี้เองที่บรรดาพวกนึกสนุกก็จะสวมหน้ากากและไปเยี่ยมเยียน บ้านชาวคาทอลิกที่กำลังถูกเบียดเบียนตอนกลางคืนและขอขนมเค้กและเบียร์มาทานกัน วัน "กี ฟอว์เก" มาถึงประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับการตั้งนิคมใหม่ของชาวอังกฤษพวกแรกบนทวีปอเมริกา กษัตริย์เจมส์ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากวิถีชีวิต แต่ธรรมเนียม ปฏิบัติยังคงสนุกสนานเกินกว่าจะลืมเลือนได้ ที่สุดเพราะวัน "กี ฟอว์เก" ซึ่งตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน ใกล้กับวันฉลองนักบุญทั้งหลาย ก็เลื่อนเอาธรรมเนียมขอขนมตามบ้านตอนกลางคืนมาไว้กับวัน "ฮาโลวีน" พร้อมกับการแต่งตัวแปลกๆ ด้วยเลย
    แม้ว่า การจัดงาน วัน "ฮาโลวีน" ในปัจจุบันจะไม่บ่งถึงต้นตอของที่มาทางความคิด เรื่อง "นักบุญ", และ "ผู้ล่วงลับ" อีกทั้งกลายเป็นงาน "ปาร์ตี้" ทางโลกเต็มตัวไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่าหากความสนุกสนานจะมีควบคู่ไปกับชีวิตเราแล้วล่ะก้อ, วัน "ฮาโลวีน" ในฐานะเป็นงานสังสรรค์และเพิ่มสีสันให้กับชีวิตก็ไม่น่ารังเกียจอะไร โดยยังมีความหมายว่า "นรก" มีจริง และ "เราควรจะหลีกเลี่ยงให้ได้", วัน "ฮาโลวีน" น่าจะเตรียมเราให้ระลึกถึงผู้ที่จากเราไปก่อนล่วงหน้าในความเชื่อ, พวกเขาได้อยู่บนสวรรค์ และพวกที่ยังต้องชดใช้โทษบาปในไฟชำระ หากใครบางคนหลีกเลี่ยงงาน "ฮาโลวีน" ไม่ได้จริงๆ หรือมีคนมาทักว่างานนี้จะทำให้เด็กๆ กลับไปบูชาปีศาจ ผมก็แนะนำให้บอกต้นตอการเกิดวัน "ฮาโลวีน" ที่แท้จริงแก่พวกเขา และให้พวกเขาได้รู้จัก รากความเชื่อแท้จริงของคาทอลิกอันเกี่ยวกับความตาย, นักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณในไฟชำระอันเป็นความเชื่อสำคัญอันหนึ่งของเรา
     หากเราคริสตังจะจัดงานวันฮาโลวีนการรับวัฒนธรรมจากประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะแผ่มาทางภาพยนตร์, ข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต หนังสือและบทเพลง จนกระทั่งลูกหลานรับกระแสงานวัน "ฮาโลวีน" เราผู้เป็นคริสตังและผู้ใหญ่อาจจะถือว่าเป็นการสนุกรื่นเริงในบ้าน, เพื่อนบ้าน, เพื่อนๆ ของลูกๆ ใกล้หูใกล้ตาเราภายในครอบครัว ก็อาจทำได้ ซึ่งไม่ควรปล่อยลูกหลานไปจัดกันเอง หรือไปจัดกันตามสถานที่ต่างๆ เพราะเป็น เวลากลางคืนอีกทั้งเราควบคุมความปลอดภัยไม่ได้ ส่วนครอบครัวใดที่ไม่มีกระแสตะวันตก ในบ้านก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับการจัดงานนี้อย่าลืมว่า ชาวต่างชาติที่เป็นคาทอลิก เมื่อเขาจัดงานวัน "ฮาโลวีน" (31 ตุลาคม) อันเป็นวันสุกดิบก่อนฉลองนักบุญทั้งหลายนั้น เป็นงานรื่นเริงทางสังคม มิใช่พิธีกรรมคาทอลิก แต่ควรแฝงความคิดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอันเป็นความเชื่อแบบคริสตังเข้าไว้ด้วย และไม่จำเป็นที่เด็กๆ จะต้องแต่งตัวเป็นนักบุญเพียงอย่างเดียว, การแต่งตัวเป็นวิญญาณต่างๆ และตัวละครที่เกี่ยวข้องกับนรก ก็สื่อความหมายดั้งเดิม การระลึกถึงวิญญาณทุกดวงของคริสตังโบราณว่าเราไม่ลืมเขา

    ทำไม วันฮาโลวีน ถึงเป็นวันที่ 31 ตุลาคม
    ประวัติความเป็นมาอีกฉบับหนึ่ง ให้คำอธิบายถึงที่มาที่ไปของวันนี้ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เป็นความเชื่อของชาวเซ็ลต์ (Celt) เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในประเทศอังกฤษ โดยเชื่อว่าทุกวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี จะเป็นวันที่ประตูนรกถูกเปิดขึ้นมา บรรจบกับมิติโลกมนุษย์กันอย่างพอดี ทำให้เหล่าวิญญาณพยายามหาทางเข้าสิงมนุษย์ ซึ่งวิธีการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณเข้าสิงคือ "การปลอมตัว" ทำตัวเป็นผีเสียเอง ด้วยการตกแต่งต่างๆ นานาให้ดูน่ากลัวที่สุด เทียนและระบบทำความร้อนก็จะถูกดับ เพื่อให้ร่างกายเกิดความหนาวเย็นเปรียบเสมือนร่างกายที่ไร้ซึ่งชีวิต ส่วนบ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้ดูน่าสะพรึงกลัว และผู้คนต่างส่งเสียงเพื่อทำการขับไล่เหล่าวิญญาณชั่วร้ายอีกทีนึง ทั้งนี้ หลายคนต่างสงสัยว่าทำไมสัญลักษณ์ของวันฮัลโลวีน ถึงเป็นหัวฟักทองแกะสลักสีส้ม เจ้าฟักทองนั้นมีชื่อว่า Jack O Lanterns เป็นตำนานของชาวไอริช ที่เป็นนักมายากลขี้เมาและได้ทำข้อตกลงกับปีศาจตนหนึ่ง ในกรณีที่เขาเสียชีวิตแล้ว เขาขอเพียงแค่ไม่ไปทั้งสวรรค์หรือนรก เมื่อถึงคราวชีพจรดับปีศาจตนนั้นจึงมอบถ่านอันคุกรุ่นให้แก่ Jack เขาจึงนำไปใส่ไว้ในหัวผักกาดเพื่อคอยปัดเป่าความหนาวเย็น ต่อมาชาวไอรีชจึงแกะหัวผักกาด และนำถ่านมาใส่เช่นกันเพื่อเป็นสิริมงคลในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตลอดทั้งปี เมื่อกาลเวลาผ่านไปประเพณีดังกล่าวเริ่มแพร่หลายไปสู่ประเทศอเมริกา แต่หัวผักกาดเป็นสิ่งที่หายาก จึงนำลูกฟักทองมาแกะสลักแทน และนี่คือจุดเริ่มต้นของสัญลักษณ์สีส้ม และสีดำ ทั้งนี้ สีดำบ่งบอกถึงความมืดมิดช่วงเวลากลางคืน ส่วนสีส้มคือแสงสว่างที่ลุกโชติ เพื่อขับไล่ปีศาจนั่นเอง


    • Update : 31/10/2555
    © Copyright 2011 www.watbangwaek.com All rights reserved