หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน






ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  พระบูชา
  พระเหรียญ
  พระผง
  เครื่องราง
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
CD008 500.00  1
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    อานิสงส์กฐินทาน
    อานิสงส์กฐินทาน
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
                            ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นเวลากาลที่จะทอดผ้าพระกฐินทาน เหตุฉะนั้นในวันนี้อาตมาภาพจะได้นำเอาเรื่องราวของบุญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ปุญญานิ ปรโลกัสมิง ปติฏฐา โหนติ ปาณินัง” ซึ่งแปลเป็นใจความง่าย ๆ ว่า “บุญกุศลย่อมจะทำให้บุคคลมีความสุขต่อไปในภายภาคข้างหน้า”
     
                            ความมีอยู่ว่า ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูทรงเสด็จประทับอยู่ในพระคันธกุฎีมหาวิหาร อันเป็นวิหารที่นางวิสาขาหาอุบาสิกาสร้างถวาย ตั้งอยู่ในเขตแห่งเมืองสาวัตถีคือเมืองสาเกต อันเป็นเขตพระราชฐานของพระราชา มีนามว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์
     
                            เวลานั้นเป็นเวลาก่อนที่จะเข้าพรรษา มีภิกษุชาวปาฐา 30 รูป ตั้งใจไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เมืองสาเกต อันเป็นเขตของเมือง
    สาวัตถี แต่ว่าเวลานั้นองค์สมเด็จพระมหามุนีได้มีพระพุทธฎีกาบัญญัติว่า ถึงวาระเวลากาลฤดูฝนตั้งแต่กลางเดือน 8 ให้บรรดาภิกษุทั้งหลายหาที่พักจำพรรษาห้ามเดินไปในสถานที่อื่น จนกว่าจะถึงวันกลางเดือน 11
     
                            ทั้งนี้เพราะว่าในสมัยก่อนนั้น องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติฤดูกาลแห่งการจำพรรษา ฉะนั้นจึงมีเหตุอยู่ว่า เวลาฤดูฝนชาวบ้านเขาปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารมาก สาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบางท่านก็ดี แต่บางท่านก็เต็มที เพราะว่าไร้มารยาทเดินลัดทุ่งหญ้าทุ่งนา เหยียบพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ชาวบ้านเขาปลูกไว้ ทำให้ต้นพืชต้นข้าวเขาเสียหาย
     
                            ต่อมาเมื่อมีคนตำหนิว่า สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไร้มายาท ปราศจากความดี ทำลายทรัพย์สินเหล่านี้ของเขาให้สิ้นไป เหตุฉะนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ทรงบัญญัติว่า “ตั้งแต่ต้นฤดูฝน คือกลางเดือน 8 เป็นต้นไปให้ บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจำพรรษาสิ้นเวลา 3 เดือน ถึงกลางเดือน 11”
     
                            เวลานั้นภิกษุชาวปาฐา 30 รูป จะเข้ามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินมาระหว่างทางไม่ทันจะถึง ก็ปรากฎว่าถึงกลางเดือน 8 พอดี จึงต้องหยุดพักจำพรรษาตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงอนุมัติ คือการจำพรรษานั้นจะจำพรรษาที่บ้านทุ่งก็ได้ ที่บ้านร้างก็ได้ บ้านว่างก็ได้ ในโพรงไม้ก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะเป็นที่กันฝนได้ ครั้นเมื่อออกพรรษาภิกษุ 30 รูป ทั้งหลายเหล่านั้นก็ตั้งใจจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา
     
                            เวลานั้นพระพุทธเจ้าก็ยังทรงบัญญัติว่า พระต้องมีผ้าแค่ 3 ผืน นั่นเอง สบง 1 ผืน จีวร 1 ผืน สังฆาฏิ 1 ผืน และมีผ้าเกินคือผ้าอังสะอีก 1 ผืน ใช้เป็นผ้าซับในกับรัดประคตเอว มีเกินนอกนี้ไม่ได้ เหตุฉะนั้น บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเวลานั้นจึงมีผ้าจำกัด เวลาที่จะเดินไปเฝ้าพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ก็ต้องผ่านใบหญ้าใบไม้ที่เปียกชุ่มใบด้วยน้ำฝนและน้ำค้าง สบงจีวรของท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็เปียกชุ่มโชกไปในระหว่างทาง
     
                            พอไปถึงเมืองสาเกตุ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ ครั้นเทศน์จบแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงพากันไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมครูก็ต้องเข้าไปทั้งที่เปียก ๆ เพราะมันไม่มีผ้าจะผลัด เมื่อเข้าไปแล้วก็ถวายนมัสการองค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคย์ แล้วก็นั่งอยู่
     
                            เวลานั้นนางวิสาขาเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมครูอยู่พอดีครั้นเห็นบรรดาภิกษุชาวปาฐาทั้ง 30 รูปนี้ มีผ้าสบงจีวรเปียกโชกไปอย่างนั้น จึงได้กราบทูลขอพรต่อองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า ต่อแต่นี้ไปข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพรจากพระผู้มีพระภาคว่า ฤดูกาลหลังจากออกพรรษาแล้ว ขอบรรดาประชาชนทั้งหลายมีโอกาสถวายผ้าไตรจีวรแก่คณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา”
     
                            เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาได้สดับนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงอนุมัติ แล้วก็ทรงประกาศให้บรรดาประชาชนถวายผ้าพระกฐินทานแก่บรรดาพระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาครบไตรมาสในอาวาสนั้น ๆ ได้
     
                            นี่เป็นอันว่า ต้นเหตุแห่งการทอดผ้าพระกฐินในศาสนานี้ก็มีนางวิสาขาเป็นคนแรก สำหรับอานิสงส์กุศลบุญราศีในการถวายผ้าพระกฐินทานนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่ามีอานิสงส์มากเป็นกรณีพิเศษคือ คนถวายผ้าพระกฐินทานหรือร่วมในการถวายกฐินทานครั้งหนึ่ง จะปรารถนาเป็นพระอัครสาวกก็เป็นได้   จะปรารถนาพระนิพพานเพื่อเป็นพระอรหันต์ปกติก็เป็นได้
     
                            ยิ่งกว่านั้นไซร้ ก่อนที่บรรดาผลทั้งหลายเหล่านั้น คือความเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี ความเป็นพระอัครสาวกก็ดี หรือว่าเป็นอรหันต์สาวกก็ดี จะมาถึง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวว่า ในขณะที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ มีบารมียังไม่สูงดียังไม่พอที่จะบรรลุมรรคผลได้ อานิสงส์กฐินทานจะให้ผลตามนี้
     
                            กล่าวคือ อันดับแรกเมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดา แล้วก็จะลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ปกครองประเทศทั่วโลก มีมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขต 500 ชาติ
     
                            เมื่อบุญแห่งความเป็นพระมหาจักรพรรดิสิ้นไป บุญก็หย่อนลงมา จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ 500 ชาติ
     
                            หลังจากนั้นมา เมื่อบุญแห่งความเป็นกษัตริย์ได้หมดไปก็จะเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติ
                           
    บุญแห่งความเป็นมหาเศรษฐีหมดไป ก็จะเป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติ
                                                                                                                           
                            บุญแห่งความเป็นอนุเศรษฐีหมดไป ก็จะเป็นคหบดี 500 ชาติ
     
                            รวมความแล้ว สมเด็จพระบรมโลกนาถตรัสว่า “คนที่ทอดผ้าพระกฐินครั้งหนึ่งก็ดี บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันจะหมด ก็ปรากฎว่าท่านเจ้าของไปนิพพานก่อน” เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรตรัสอย่างนี้แล้ว จึงได้ตรัสอีกว่า “เราเทศน์คราวนี้ เทศน์ตามนัยที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดามีพระนามว่าปทุมุตตระ ได้เทศน์ไว้เมื่อ 91 กัปป์มาแล้ว พระองค์ก็รับรองว่าอานิสงส์เป็นอย่างนี้”
     
                            หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระมหามุนีจึงได้นำเอาเรื่องราวอดีตทาน ซึ่งเป็นอัตตโนบุพกรรม กล่าวคือ เป็นกรรมของพระองค์มาตรัส ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงตรัสว่า “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถอยหลังจากกัปป์นี้ไป 91 กัปป์ ถ้านับกัปป์นี้ด้วยก็เป็น 92 กัปป์ ยังมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงอุบัติขึ้นในโลก มีพระนามว่า 
    ปทุมุตระ เวลานั้น พระปุมุตระได้แสดงพระธรรมเทศนาอานิสงส์กฐินตามที่กล่าวมาแล้ว”
     
                            ขณะนั้นเองปรากฎว่า มีชายมหาทุคคตะคนหนึ่ง คำว่า มหาทุคคตะนี้จนมาก เป็นทาสของท่านคหบดี ได้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์ โดยนั่งอยู่ท้ายบริษัท ฟังเทศน์ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เทศน์นั้น ท่านเทศน์ตามนัยเมื่อกี้นี้ เมื่อฟังจบก็รู้สึกดีใจนักว่า อานิสงส์กฐินนี่มากมายเหลือเกิน แต่ว่าเราอยากจะทอดกฐิน เราก็เป็นเพียงทาสของเขา เงินสักบาทหรือสลึงหนึ่งก็ไม่มี  ไอ้เครื่องแต่งกายของเรานี้มันก็แสนจะขาดแสนจะเก่า เราจะทำอย่างไรเล่าจึงจะมีโอกาสได้ทอดกฐิน แต่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า นอกจากจะเป็นเจ้าภาพแล้ว ถ้าหากว่ามีการช่วยในการทอดกฐิน เราก็มีอานิสงส์เหมือนกัน   ซึ่งองค์สมเด็จพระภควันต์กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะช่วยในการทอดกฐิน จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เป็นพระอัครสาวกก็ได้ เป็นมหาสาวกก็ได้ เป็นปกติสาวกก็ได้ และนอกนั้นไซร้ก็ยังได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นกษัตริย์ เป็นมหาเศรษฐี เป็นอนุเศรษฐี เป็นคหบดี ถ้ากระไรก็ดี เราจะช่วยนายของเราทอดกฐิน
     
                            เมื่อดำริอย่างนี้แล้ว ครั้นฟังเทศน์จากสมเด็จพระประทีบแก้วจบ ชาวบ้านเขากลับ ท่านมหาทุคคตะก็กลับเหมือนกัน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ชวนนายทอดกฐิน พูดถึงอานิสงส์ให้ฟัง นายฟังแล้วก็ดีใจว่า เออหนออานิสงส์กฐินทานนี่มีอานิสงส์มาก การถวายก็ไม่ยากเรามีผ้าจีวรผืนหนึ่ง หรือว่าสบงผืนหนึ่ง หรือว่าสังฆาฏิผืนหนึ่งก็ได้ จะถวายทั้งไตรก็ได้ ถวายมากก็ได้ ถวายน้อยก็ได้อานิสงส์เหมือนกัน ฉะนั้น ท่านนายจึงกล่าวว่า “โภ ปุริสะ ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ถ้ากระไรก็ดีทรัพย์สินของเรานี้มีอยู่ แต่ว่าการทอดกฐินเป็นของใหม่ เราไม่มีความเข้าใจ ถ้าเธอจะให้ทอดกฐินทานก็จงเป็นผู้จัดการในการทอดกฐินก็แล้วกัน”
     
                            ท่านมหาทุคคตะก็จัดการทุกอย่าง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอะไรบ้างนอกจากนั้นของที่เกินออกไปจากของบริวารเจ้านายจะทำก็ตามใจทุกอย่าง จนเสร็จภารกิจทุกประการ เมื่อจัดการครบถ้วนเรียบร้อย ถึงวันจะทอดกฐินท่านก็มานั่งนึกว่า ไอ้ทรัพย์สมบัติหมดนี่เป็นของนายแต่ผู้เดียว เรามีหน้าที่ในการจัดแต่ไม่มีส่วนในทานแม้แต่น้อยหนึ่งเลย จึงได้เข้าไปในป่าเปลื้องเครื่องแต่งตัวออก ถอดเสื้อเอากางเกงออก กลัดใบไม้แล้วก็นุ่งใบไม้ห่มใบไม้แทน เข้าไปในร้านที่ตลาด เอาเสื้อกับกางเกงนี่เข้าไปบอกเจ้าของร้านว่า ไอ้เสื้อเก่า ๆ กางเกงเก่า ๆ ของฉันนี่มันจะแลกของอะไรได้บ้างหนอ ของในร้านนี้เอาอะไรก็ได้ ฉันต้องการแต่เพียงอย่างเดียวที่ท่านจะพึงให้ได้
     
                            เจ้าของร้านมานั่งพิจารณาว่า ไอ้ผ้าเก่า ๆ เสื้อเก่า ๆ มันก็เปื่อยแล้ว จะไปเทียบกับอะไรมันก็ไม่ได้สักอย่าง ก็เลยตัดสินใจให้ด้ายไปหนึ่งกลุ่ม ให้เข็มไปหนึ่งเล่ม แล้วก็บอกว่าเสื้อผ้าของท่านเหล่านี้ ความจริงราคามันก็ไม่เท่ากับเข็มหนึ่งเล่ม ด้ายหนึ่งกลุ่ม แต่ว่าในฐานะที่ท่านจะเอาไปทำบุญ เราขอตัดสินใจให้ ฝ่ายท่านมหาทุคคตะท่านได้เท่านั้นท่านก็ดีใจ ด้ายหนึ่งกลุ่ม เข็มหนึ่งเล่ม เอามาร่วมในการทอดผ้าพระกฐินทานกับเจ้านาย
     
                            เมื่อทอดผ้าพระกฐินทานเสร็จแล้วไซร้ องค์สมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุโมทนา กล่าวถึงอานิสงส์เมื่อกี้นี้เป็นเหตุ ครั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กล่าวจบ คนทั้งหลายเขาก็กลับกันหมด ท่านมหาทุคคตะก็คลานเข้าไปไหว้พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตระ แล้วได้กล่าวคำมโนปณิธานตั้งความปรารถนาว่า “ด้วยอานิสงส์บุญบารมี ที่ข้าพระพุทธเจ้ามีหน้าที่ขวนขวายในการจัดงานทอดผ้าพระกฐินทานก็ดี และข้าพระพุทธเจ้าสละเสื้อผ้าอันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ข้าพระพุทธเจ้ามี โดยแลกกับด้ายกลุ่มหนึ่งกับเข็มเล่มหนึ่ง เข้ามาร่วมในการทอดกฐิน ขออานิสงส์กุศลบุญราศรีอันนี้ จงดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
     
                            เมื่อท่านมหาทุคคตะตั้งมโนปณิธานอย่างนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงพระนามว่าปทุมุตระ ก็ทรงพิจารณาดูด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า มหาทุคคตะคนนี้ปรารถนาพระโพธิญาณ อยากจะทราบว่ามโนปณิธานความปรารถนาของเธอจะสำเร็จผลหรือไม่ หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ทรงทราบว่า หลังจากนี้ไป ต่อไปอีก 91 กัปป์ มหาทุคคตะคนนี้จะไปเกิดเป็นลูกกษัตริย์ ที่กรุงกบิลพัสด์มหานคร จอมบพิตรอดิศรจะได้นามว่า สิทธัตถะราชกุมาร หลังจากนั้นจะออกบำเพ็ญ มหากษัตริย์จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม
     
                            เมื่อทรงทราบอย่างนี้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงพระนามว่า
    ปทุมุตระ ก็ทรงประกาศคำพยากรณ์ให้ทราบ ท่านมหาทุคคตะก็ดีใจกลับมาที่บ้าน หลังจากนั้นไซร้ ท่านก็ตั้งใจบำเพ็ญกุศลบุญราศรีตามกำลังที่จะพึงมี โดยนัยว่าทรัพย์ทั้งหลายเหล่านี้ของท่านไม่มี เพราะท่านเป็นทาสเขา แต่อานิสงส์ที่พาเจ้านายไปทอดผ้าพระกฐินทาน เพราะอานิสงส์ที่พระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า พระสมณโคดม จากนี้ไปอีก 91 กัปป์ เหตุนี้เป็นเหตุให้เจัานายมีความยินดี ได้กล่าวว่า
     
                            “มหาทุคคตะ ความดีในการทอดผ้าพระกฐินทาน พร้อมด้วยเครื่องบริวารที่เราจะได้โดยยาก ซึ่งเป็นอานิสงส์ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ต่อแต่นี้ไป ถ้าเราจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เป็นอัครสาวกก็ได้ เป็นปกติสาวกก็ได้ แต่เวลาใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร ในกาลข้างหน้า ถ้าบุญบารมีนั้นยังไม่เต็ม เราสามารถจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ถึง 500 ชาติ เป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติ และเป็นคหบดี 500 ชาติ
     
                            แต่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ยังตรัสว่า อานิสงส์ทั้งหลายเหล่านี้ยังได้ไม่หมด ก็ปรากฎว่าบุคคลผู้เป็นเจ้าของกฐินทานและผู้ติดตามจะไปนิพพานก่อน อาศัยที่ความดีขององค์สมเด็จพระชินวรทรงเทศน์ และเธอก็ได้แนะนำเราให้ปฏิบัติความดีที่เราไม่เคยเข้าใจมาก่อน ฉะนั้น ความดีอันนี้ มหาทุคคตะ เราขอปล่อยท่านจากความเป็นทาส คือนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าก็จงเป็นไทไม่ต้องเป็นทาสต่อไป และเราจะให้บ้านส่วนของเรา 100 หลัง เป็นที่เก็บส่วย เป็นเครื่องทำมาหากิน ให้ข้าทาสหญิงชายช้างม้าวัวควายพอสมควรแก่ฐานะ
     
                            รวมความว่า นับแต่เวลานั้นมา ท่านมหาทุคคตะก็พ้นจากความเป็นมหาทุคคตะ กลายเป็นคหบดีคนหนึ่ง อยู่ในฐานะคหบดีมีเงินกิน มีเงินพอใช้พอสมควรแก่ฐานะ และหลังจากนั้นมา ท่านก็บำเพ็ญกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ เมื่อสิ้นอายุขัยเจ้านายของท่านก็ตาย แล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกมีความสุข
     
                            สำหรับท่านมหาทุคคตะ ได้เคยบำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาพระโพธิญาณมาก่อน และในตอนนี้องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า บารมีเข้าขั้นเริ่มต้นปรมัตถบารมี เหตุฉะนั้น มหาทุคคตะคนนี้ เมื่อตายจากความเป็นคน จึงไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต มีความสุข

    • Update : 29/4/2554
    © Copyright 2011 www.watbangwaek.com All rights reserved