หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน






ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  พระบูชา
  พระเหรียญ
  พระผง
  เครื่องราง
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    พระสุภาเถรี

    Image

    พระสุภาเถรี
    พระเถรีผู้แกร่งกล้า


    แสงแดดทางทิศตะวันตกสาดส่องอาบทั่วเชตวนาราม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาผู้ใคร่สิกขาบททำข้อวัตรปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจที่ใสบริสุทธิ์ มองดูสงบเงียบไร้เสียงพูดคุยอันสนุกสนานอันเป็นการคะนอง ด้วยรำลึกถึงพระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่เนืองๆ ว่า ภิกษุทั้งหลาย การขับร้องคือการร้องไห้ในวินัยของพระอริยเจ้า การฟ้อนรำคือความเป็นบ้าในวินัยของพระอริยเจ้า การหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพรื่อคือความเป็นเด็กในวินัยของพระอริยเจ้า เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายจงละเสียโดยเด็ดขาดในการขับร้องและการฟ้อนรำ เมื่อเธอทั้งหลายเบิกบานในธรรมก็ควรจะยิ้มเพียงเท่านั้น

    พระพุทธภาษิตนี้ไหลวนเวียนอยู่ในใจของพุทธสาวกผู้ใคร่ธรรมอยู่รู้ไม่สร่าง ตั้งสติทำข้อวัตรปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมซึ่งเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ ดุจสีหมีความแวดระวังในการยืนเดินนั่งนอน ตะวันคล้อยใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว แต่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาในวัดเชตวัน ที่มีจิตยังชุ่มไปด้วยกิเลสยังคงเร่งความเพียร ดั่งทินกรจะไม่มีวันลาลับขอบฟ้าเหมือนว่าทิวาการจะไม่มีวันสิ้นสุด

    ภิกษุณีนางหนึ่งอาศัยป่าด้านทิศใต้เป็นที่หลีกเร้นในวัดเชตวัน นางพิจารณาหัวข้อธรรมบางประการ ประคองจิตและสติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พรางรำลึกถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเมื่อสายวานนี้ เพื่อเทียบกับใจและความเพียรที่กำลังเพ่งพิศอยู่ พระธรรมเทศนาของพระศาสดานั้นช่างโดนใจของนางเสียเหลือเกิน ในขณะที่นางกำลังต่อสู้กับกิเลสอยู่นั้น นางย้อนรำลึกถึงพระธรรมเทศนาประดุจธาราที่หลั่งไหลมาจากภูเขาสูงซัดสาดเอาสิ่งสกปรกทั้งหลายมาด้วย

    พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เมฆคือฟ้ามี 4 อย่างคือ

    1. ฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก
    2. ฝนตกแต่ฟ้าไม่คำราม
    3. ฟ้าไม่คำราม ทั้งฝนก็ไม่ตก
    4. ฟ้าคำรามด้วยทั้งฝนก็พลอยตกด้วย

    ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า 4 จำพวกนี้จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้คือ

    คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดแต่ไม่ชอบทำ เป็นคนดุจฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก

    คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบทำแต่ไม่ชอบพูด เป็นคนประดุจฝนตกแต่ฟ้าก็ไม่คำราม

    คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนไม่ชอบพูดด้วยทั้งไม่ชอบทำ เป็นคนประดุจฟ้าไม่คำรามและทั้งฝนก็ไม่ตก

    คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดด้วยและชอบทำด้วย เป็นคนประดุจฟ้าคำรามด้วยและฝนก็พลอยตกลงไปด้วย

    ภิกษุทั้งหลายบุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า 4 จำพวกนี้ จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้ นางพรางคิดว่าก่อนบวชเราศรัทธาในพระศาสดา เห็นพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมาอยู่แค่เอื้อมสละทรัพย์สมบัติจากตระกูลพราหมณ์ที่มหาศาลผู้เป็นบิดา สละจากกุลธิดาผู้พรั่งพร้อมมาขอทานประทังชีวิต สละความงามที่ไม่มีใครปานมาเป็นภิกษุณี ผู้อยู่แต่เดียวดาย แม้ผิวพรรณแต่ก่อนเป็นดั่งทอง แต่เดี๋ยวนี้กลับหมองคล้ำไป สุภา สุภาชื่อเราที่ใครๆ นิยมชมชื่นว่างามยิ่งในราชคฤห์ อีกไม่กี่วันเขาก็คงลืมหาย บุคคล 4 จำพวกที่พระศาสดาตรัสไว้ เราจะถูกจัดไว้ในจำพวกไหนในเวลานี้หนอ นางพรางคิดแล้ว น้ำตานางก็เอ่อออกจากเบ้าตา นางพรางคิดถึงพระดำรัสของพระศาสดาเพื่อย้ำเตือนจิตใจ เพื่อต่อสู้กับกิเลสฝ่ายต่ำที่ย่ำยีหัวใจมาช้านาน

    นางสูดลมหายใจลึกๆ แล้วอุทานเบาๆ ว่า โอ ! ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้เอง เราจะอยู่ในชาติชั้นวรรณะเพศภาวะใดๆ ก็ตาม มันก็คงตามรังควานจิตใจของเราอยู่เสมอ ตราบใดที่มีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญา ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังคงเป็นผู้โง่เขลา ทั้งๆ ที่หลงระเริงว่าตัวเองฉลาด นางย้อนนึกถึงคำพูดของเพื่อนภิกษุณีนางหนึ่งเมื่อนางบวชเข้ามาวันแรก เพื่อนภิกษุณีนางหนึ่งเล่าให้นางฟังถึงเรื่องพระบรมศาสดาตรัสกับพระนาคีตะผู้เป็นพระอุปัฏฐากในช่วงแรกๆ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ นางหวนระลึกถึงบทธรรมเหล่านั้นประดุจผู้ป่วยเป็นไข้ได้รับยาและรู้ว่าจะหาย พระศาสดาตรัสกับพระนาคีตะว่า นาคีตะ พวกใครนั่นมาส่งเสียงอื้ออึงเป็นเหมือนชาวประมงมาแย่งปลากัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านอิจฉานังคะพากันถือเอาขาทนียโภชนียาหารมาเป็นอันมาก เพื่อจะมาถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ กำลังยืนอยู่ที่ซุ้มประตูพระเจ้าข้า พระนาคีตะกราบทูลพร้อมก้มศีรษะลงเล็กน้อยอันแสดงถึงความเคารพเต็มเปี่ยม

    นาคีตะขอเราอย่าได้เกี่ยวข้องกับยศ และยศอย่าได้มาเกี่ยวข้องกับเรา นาคีตะผู้ใดเป็นผู้ไม่ได้ตามความต้องการ ได้มาโดยง่ายๆ ได้มาโดยไม่ลำบาก ซึ่งสุขอันเกิดแต่เนกขัมมะคือการออกบวช สุขอันเกิดแต่วิเวก สุขอันเกิดแต่ความสงบ สุขอันเกิดแต่การตรัสรู้ซึ่งเราได้ตามความต้องการ ผู้นั้นพึงยินดีสุขที่เกิดแต่ของไม่สะอาด สุขที่เกิดเพราะลาภ สักการะและการสรรเสริญ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนาคีตะกราบทูล บัดนี้ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงรับ เวลานี้เป็นเวลาที่พระผู้มีพระภาคควรรับ บัดนี้ชาวนิคมและชาวชนบทจะพากันหลั่งไหลไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไป เปรียบเสมือนฝนเม็ดใหญ่ตกลง น้ำย่อมไหลไปตามที่ลุ่มฉันนั้น

    ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีศีลและปัญญา นาคีตะเอย พระศาสดาตรัส ขอเราอย่าได้เกี่ยวข้องกับยศ และยศอย่าได้มาเกี่ยวข้องกับเรา นาคีตะ พระศาสดาตรัสต่อด้วยพระสุรเสียงอันกังวาล เราเห็นภิกษุในธรรมวินัยผู้อยู่ใกล้บ้าน ผู้นั่งเข้าสมาธิอยู่ใกล้บ้าน เราตถาคตย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ไฉนพวกคนวัดจะยังท่านผู้มีอายุรูปนี้ให้สืบต่อสมาธินั้นได้ หรือว่าพวกคนวัดจะยังท่านผู้มีอายุนั้นให้เสื่อมจากสมาธิ ฉะนั้นเราจึงไม่ยินดีพอใจด้วยการอยู่ใกล้บ้านของพวกภิกษุนั้น

    อนึ่ง เราเห็นภิกษุในธรรมวินัยในศาสนาของเรานี้ ผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรนั่งโงกง่วงอยู่กลางป่า เราย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ท่านผู้มีอายุรูปนี้จะบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยเพราะการนอนนี้ แล้วกระทำความสำคัญตนว่าอยู่ในป่าไว้ในใจ มีอารมณ์เป็นอันเดียว ฉะนั้น เราจึงพอใจด้วยการอยู่ในป่าของภิกษุนั้น

    อนึ่ง เราเห็นภิกษุในธรรมวินัยในศาสนานี้ ผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรมีจิตไม่เป็นสมาธินั่งอยู่ในป่า เราย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ท่านผู้มีอายุรูปนี้จะตั้งจิตที่ไม่เป็นสมาธิให้เป็นสมาธิหรือจะตามรักษาจิตที่เป็นสมาธิไว้ ฉะนั้นเราจึงยินดีพอใจด้วยการอยู่ในป่าของภิกษุนั้น

    อนึ่ง เราเห็นภิกษุในธรรมวินัยในศาสนานี้ ผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรจะเปลื้องจิตที่ยังไม่หลุดพ้นให้หลุดพ้น หรือจะตามรักษาจิตที่หลุดพ้นแล้ว ฉะนั้นเราจึงยินดีพอใจด้วยการอยู่ในป่าของภิกษุนั้น

    อนึ่ง เราตถาคตเห็นภิกษุในธรรมวินัยในศาสนานี้ ชอบอยู่ใกล้บ้านได้ลาภ คือจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร เธอพอใจในลาภ สักการะ และการสรรเสริญนั้น ย่อมละทิ้งการหลีกออกเร้น ย่อมละทิ้งเสนาสนะอันสงบสงัดที่ตั้งอยู่ในราวป่ามารวมกันอยู่แต่ในบ้าน นิคม และในเมืองหลวง ฉะนั้น เราจึงไม่พอใจด้วยการอยู่ใกล้บ้านของพวกภิกษุนั้น

    อนึ่ง เราตถาคตเห็นภิกษุในธรรมวินัยในศาสนานี้ ผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ที่อยู่ที่อาศัยและคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร เธอละลาภ สักการะ และการสรรเสริญนั้น ย่อมไม่ละทิ้งการหลีกออกเร้น ย่อมไม่ละทิ้งเสนาสนะอันสงบสงัดอันตั้งอยู่ในราวป่า ฉะนั้นเราจึงยินดีพอใจด้วยการอยู่ในป่าของภิกษุนั้น

    อนึ่ง สมัยใดที่เราตถาคตเดินทางไกล ทุรกันดาร ย่อมไม่เห็นผู้ใดข้างหน้าหรือตามมาข้างหลัง สมัยนั้น เวลานั้น เราตถาคตย่อมมีความสบายโดยที่สุดแม้ด้วยการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
    เมื่อนางสุภาภิกษุณีระลึกถึงพระดำรัสของพระศาสดา กิเลสที่กำลังฟุ้งขึ้นภายในใจนางก็สงบระงับลงได้บ้าง เหมือนน้ำน้อยไม่พอที่จะดับไฟ แต่ไฟนั้นก็ดับลงไปได้บ้าง ใจของนางเริ่มเป็นใจของนางเองแล้ว ความแกร่งกล้าของใจเริ่มมีขึ้นมาโดยลำดับแล้ว ความดำภายในจิตใจ เริ่มจะกลายเป็นความขาวแล้ว จึงทำให้นางคิดว่า เมื่อเช้านี้ใจของเราเป็นอย่างหนึ่ง กลางวันเป็นอย่างหนึ่ง กลางคืนกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง โอ ! ธรรมชาติของจิตทำไมจึงกลับกลอกเช่นนี้

    นางพลางคิดพิจารณาธรรมและถอนหายใจไปด้วย ธรรมชาติของจิต นางอุทานเบาๆ พระบรมศาสดาเคยตรัสไว้ ธรรมชาติของจิตนี้มันดิ้นรนกวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก เหมือนโคถึกตัวคะนอง เหมือนหมาขี้เรื้อน นางย้ำภายในใจ เหมือนหมาขี้เรื้อน พระธรรมเทศนานี้เราเคยฟังก่อนที่เราจะอุปสมบทเป็นภิกษุณีเสียอีก พระศาสดาทรงแสดงแก่ภิกษุที่วัดเชตวันแห่งนี้เอง

    พระองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเห็นหมาจิ้งจอกแก่ตัวนั้นซึ่งอยู่ตลอดคืนจนถึงเช้าตรู่หรือไม่ เห็นพระเจ้าข้า ภิกษุกราบทูล ภิกษุทั้งหลาย หมาจิ้งจอกแก่ตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน เมื่อมันอยู่กลางดิน มันก็ไม่สบาย มันย้ายไปนอนอยู่โคนไม้มันก็ไม่สบาย มันไปนอนที่แจ้งๆ มันก็ไม่สบายอีก ไม่ว่ามันจะยืน เดิน นั่ง หรือนอนในที่ใดๆ มันก็หาที่สบายนอนหรือนั่งไม่ได้ ที่ทุกแห่งกลายเป็นที่ไม่พึงปรารถนาของมันฉันใด

    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาบางรูปในธรรมวินัยนี้ก็เช่นเดียวกัน เธออันลาภ สักการะ และชื่อเสียงครอบงำย่ำยีจิตเสียแล้ว อยู่ที่เรือนว่างก็ไม่สบาย อยู่ที่โคนไม้อันสงบเงียบก็ไม่สบาย อยู่ในที่แจ้งก็ไม่สบาย อยู่ที่วัดก็ไม่สบาย อยู่ที่ป่าก็ไม่สบาย จะยืน เดิน นั่งหรือนอนในที่ใดๆ ก็ไม่สบาย อยู่ที่ไหนก็ทุกข์ที่นั่นเหมือนหมาจิ้งจอกแก่ขี้เรื้อนตัวนั้น ฉันนั้น

    ภิกษุทั้งหลาย ลาภ สักการะ และชื่อเสียงย่อมทารุณเผ็ดร้อนหยาบคายและเป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะอย่างนี้แล พระพุทธพจน์อันกินใจนี้เป็นเสมือนทลายกำแพงมหึมาให้พังพิน จิตใจของนางโปร่งโล่งเบาสบาย คลายทุกข์คลายกังวล ความศรัทธาของนางเกิดขึ้นต่อพระศาสดาเมื่อคราวพระองค์เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์ ก่อนบวชเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธาอย่างยิ่ง เกิดความสังเวชในสังสารวัฏฏ์ เห็นโทษในกามทั้งหลาย และกำหนดเอาเนกขัมมะคือการบวชเป็นทางชีวิต บวชในสำนักของนางภิกษุณี นามว่า ปชาบดีโคตมี

    สุภาภิกษุณีตั้งใจบำเพ็ญสมถะวิปัสสนา โดยยึดเอาหัวข้อธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงมาพิจารณา โดยกาลไม่นานนักเพียง 3 วัน แห่งการอุปสมบทเป็นภิกษุณี นางก็สำเร็จอนาคามิผลเป็นพระอนาคามีในพระพุทธศาสนา บัดนี้ใจของนางมีคุณธรรมเป็นเครื่องรองรับแล้ว กิเลสที่เคยก่อกวนใจให้หักเห บัดนี้ไม่มีแล้ว นางจึงเหมือนวัวตัวแรกพร้อมที่จะออกจากคอกคือวัฏฏะที่รุมล้อมจิตใจมานานแสนนาน ถึงนางยังไม่บรรลุอรหันต์ แต่ทุกข์นั้นก็มีน้อยเต็มที
    สุภาภิกษุณีอยู่วัดเชตวันได้ 10 พรรษา เป็นพระเถรีแล้ว แต่ความงามและเรือนร่างยังเป็นที่ติดตาตรึงใจสำหรับบุรุษผู้ไม่เบื่อในกามทั้งหลาย พระสุภาเถรีเป็นผู้มีรูปโฉมงดงาม ถึงเป็นภิกษุณีก็เป็นที่ปองหมายของบุรุษวัยแรกหนุ่มและวัยแก่ในเมืองราชคฤห์

    อยู่มาวันหนึ่งพระเถรีปรารถนาจะหลีกเร้นหาที่สงบสงัด เนื่องจากมีที่ไม่ไกลจากวัดเชตวันมากนักเป็นสวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ สวนมะม่วงนั้นน่าปลื้มใจเป็นที่สบายน่ารื่นรมย์ใจอย่างยิ่งเพราะพรั่งพร้อมด้วยภูมิภาค และพรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ขณะที่นางกำลังเดินไปพักกลางวันที่สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ ชายนักเลงหญิงคนหนึ่งเป็นชาวกรุงราชคฤห์ เป็นหนุ่มแรกรุ่น เป็นลูกชายของนายช่างทองผู้มีสมบัติมากผู้หนึ่ง เป็นคนหนุ่มสะสวย เป็นผู้ชอบเที่ยวมัวเมา มองเห็นพระเถรีเดินทางสวนมาก็เกิดจิตปฏิพัทธ์จึงยืนขวางทางกั้นไว้ด้วยหมายจะขืนใจ

    พระเถรีจึงกล่าวขึ้นว่า "ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรของนายช่างทอง ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อท่าน ท่านจึงมายืนกั้นขวางทางข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณี เป็นผู้หญิง การปฏิบัติต่อสตรีอย่างนี้มันไม่สมควร บุรุษไม่ควรปฏิบัติต่อสตรีด้วยอาการเยี่ยงนี้ ดูก่อนท่านพ่อหนุ่ม ผู้ชายไม่ควรถูกต้องหญิงที่บวชแล้วเลย และหญิงก็ไม่ควรถูกต้องชายที่บวชแล้ว หญิงที่บวชแล้วและชายที่บวชแล้วก็ไม่ควรถูกต้องซึ่งกันและกัน จะป่วยกล่าวไปใยถึงการถูกต้องผู้ชายเล่า

    แม้โดยจารีตของโลก ชายก็ไม่ควรถูกต้องหญิงนักบวชทั้งหลาย ส่วนหญิงนักบวชไม่สมควรถูกต้องแม้แต่สัตว์เดรัจฉานตัวผู้ หญิงนักบวชนั้นไม่สมควรถูกต้องชาย แม้ผู้มีของภายนอกด้วยของภายนอกโดยอำนาจราคะเลยทีเดียว สิกขาเหล่าใดอันพระสุคตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงบัญญัติ เฉพาะภิกษุณีทั้งหลายไว้ในศาสนาที่หนักดังฉับหินคือ ที่ควรเคารพ เหตุไรท่านจึงมายืนกั้นขวางทางเราผู้กำลังจะเดินไป ผู้มีส่วนบริสุทธิ์ด้วยสิกขาเหล่านั้นไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ส่วนท่านสิเป็นผู้มีจิตขุ่นมัวสกปรกไม่สะอาด มีธุลีคือราคะเป็นต้นทับถมจิตใจ

    ท่านพ่อหนุ่ม เพราะเหตุไรท่านจึงมายืนขวางทางเราเพื่อจะปลุกปล้ำ เราเป็นหญิง เราเป็นผู้มีจิตไม่ขุ่นมัวแล้วปราศจากราคะ ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน มีจิตหลุดพ้นแล้วจากเบญจขันธ์ทั้งมวล ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง พระเถรีกล่าวขึ้นดังๆ เพื่อกลบความเงียบสงัดในไพรสณฑ์ ท่านเคยเห็นพระศาสดาและฟังธรรมของพระองค์บ้างหรือ พระองค์เคยตรัสว่า อันร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้ง 9 มีช่องหู มีช่องจมูก น่ารังเกียจ เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งเชื้อโรค เป็นที่เก็บมูตรและกรีษ อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆ เข้าไว้ แล้วซึมออกมาเสมอๆ เจ้าของกายจึงต้องขัดถูวันละหลายๆ ครั้ง

    เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือ 2 วัน กลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง ร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้นเป็นเพียงผิวหนังเท่านั้น เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพอันวิจิตรตระการตา ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไร ก็หาพอใจยินดีไม่เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบศพอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ"

    เมื่อพระเถรีกล่าวจบลง บุรุษหนุ่มผู้บ้ากามนั้นก็หาคลายความกำหนัดลงแต่อย่างใดไม่ แววตาแห่งกามและกริยาที่กำหนัดนั้นแสดงออกมาทางไตรทวาร เมื่อพระเถรีสังเกตเห็นกริยาดังนั้น จึงกล่าวขึ้นเพื่อตอกย้ำว่า

    "ท่านพ่อหนุ่ม ความทุกข์ทั้งมวลมีมูลรากมาจากตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยาก ดิ้นรน และความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของๆ เรา รวมถึงความเพลิดเพลินในอารมณ์ต่างๆ สิ่งที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดถือไว้โดยความเป็นตน เป็นของตนที่จะไม่ก่อทุกข์โทษให้นั้นเป็นไม่มี หาไม่ได้ในโลกนี้ เมื่อบุคคลใดมาเห็น สักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เพียงสักแต่ว่า สักแต่ว่า ไม่หลงใหลพัวพันมัวเมา เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากความยึดถือต่างๆ ปลอดโปร่ง โล่ง แจ่มใส เบิกบานอยู่

    ท่านหนุ่มผู้ปฐมวัยเอย โลกนี้ไม่มีอะไรที่เราจะได้ตามความต้องการดอก จงมองโลกนี้ด้วยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฐิ คือความยึดมั่นถือมั่น เรื่องตัวเรื่องตนเสีย ด้วยประการฉะนี้ ท่านจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวล ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม


    ท่านหนุ่ม ผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง การที่ท่านประสงค์จะข่มขืนปลุกปล้ำหญิงที่อ้อนแอ้นไร้พละกำลังในการต่อสู้เช่นเรานี้ เป็นสิ่งที่น่าละอายอย่างยิ่ง อารามเชตวันที่พระศาสดาทรงประทับอยู่ก็ไม่ไกลจากที่แห่งนี้นัก การที่ท่านปรารถนาจะทำกรรมอันน่าบัดสี พระองค์ต้องทรงทราบอย่างแน่นอน เราเป็นภิกษุณี เป็นบุตรีของพระศาสดา ไฉนพระองค์จะไม่ทรงทราบกรรมอันจะนำท่านไปสู่นรกเช่นนั้น

    ท่านเอย ! ไม่มีความสุขใดในโลกเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้หาได้ด้วยตัวของเราเอง ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย มนุษย์ได้สรรสร้างสิ่งต่างๆ ไว้เพื่อตัวเองวิ่งตาม แต่ก็ตามไปไม่ทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลลื่นไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาตัวเล็กๆ เพียงตัวเดียว

    มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติจนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ้ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกหามเอาไว้ เมื่อมีเกียรติมากขึ้น ภาระที่จะต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว ในหมู่ชนที่เพ่งมองความงามแต่ด้านภายนอกนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวโลกีย์ของโลกอย่างหลับหูหลับตา เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆ กันนั้น เขาได้แบกก้อนหิน วิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตชนิดที่ไม่รู้จักปลงวาง"

    เมื่อสุภาภิกษุณีกล่าวจบลงท่ามกลางความเงียบสงัดในป่าใหญ่ บุรุษผู้มีความใคร่ได้นางไว้เชยชมหยุดนิ่งท่ามกลางทางแคบๆ ที่ไร้ผู้คนสัญจรไปมา ท่านเอยจะมีอะไรหละที่บุรุษต้องการจากสตรีนอกจากได้นางมาเป็นของตน และเชยชมสมใจที่กระหายอยากได้อยากสัมผัส

    บุรุษหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทองจึงกล่าวขึ้นว่า "แม่นาง ท่านยังเป็นสาวทั้งรูปร่างก็สวยไม่สร่าง การบวชเป็นภิกษุณีไม่เห็นมันจะดีตรงไหน ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร ท่านจงเปลื้องจีวรทิ้งเสียเถิดนะ อันผ้าย้อมด้วยน้ำฝาดสีหมองคล้ำไม่เหมาะกับแม่นางผู้สง่างาม แม่นางต้นไม้ทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยเกสรดอกไม้ดูแล้วน่ารื่นรมย์โชยกลิ่นดอกบานสะพรั่งหอมไปทั่วป่า ฤดูนี้เริ่มฤดูฝนเป็นฤดูมีความสุข ถ้ามีการสัมผัสกัน สัมผัสนั้นคงเป็นที่สบาย ความเกิด ความแก่ ความเจ็บและความตาย เราก็คงลืมไปสิ้น มาสิแม่นางมาร่วมรักกัน มาอภิรมย์กัน อย่าหุนหันและขัดขืน

    ถ้าเราทั้ง 2 ได้ร่วมรักกันในป่านี้ คงไม่มีอะไรน่าปรารถนายิ่งไปกว่า แม่นางต้นไม้ทั้งหลายยอดออกดอกบานสะพรั่งแล้ว ต้องลมไหวระริกดังจะมีเสียงคร่ำครวญ แม่นางเข้ามาอยู่ในป่าเพียงคนเดียวไม่เห็นจะมีอะไรน่ายินดีเลย บุรุษหนุ่มพูดจบพร้อมขยับเข้าไปใกล้ๆ เหมือนได้ใจในวาทะตนที่คมคายพร้อมกับกระหยิ่มภายในใจว่า ตนนั้นสามารถครองใจสตรีเพศได้โดยไม่ยากเย็น แม่นาง เขากล่าวขึ้นอีก ป่าใหญ่หมู่สัตว์ร้ายๆ อาศัยอยู่ เขาพูดขึ้นพร้อมกับแสดงท่าทางแห่งผู้เจนจัด ป่านี้คลาคล่ำไปด้วยช้างพลายตกมันและช้างพัง สถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้คน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กลุ่มเนื้อร้ายมีราชสีห์และเสือเป็นต้น มักมาซุ่มทำร้ายและกินคนในที่นั้นๆ แม่นางไม่มีเพื่อนยังปรารถนาจะอยู่ป่าต่อไปอีกหรือ"

    เมื่อเขาพูดจบลงพร้อมกับแสดงท่าทีว่านางภิกษุณีจนในปัญหา และเห็นสิ่งที่ตนบรรยายมาเป็นสิ่งที่น่ายินดี น่าอภิรมย์ ธรรมชาติของผู้ชายมักเข้าข้างตัวเองเสมอ ผู้ชายโดยทั่วๆ ไปมักเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นสตรีมองก็ทึกทักเอาว่าเขารักตัว ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    สุภาภิกษุณีครุ่นคิดด้วยความมีสติและพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นางคิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรนางจะรอดพ้นจากการปลุกปล้ำข่มขืน นางกลัว กลัวเหลือเกิน กลัวความเศร้าหมองแห่งเพศพรหมจรรย์ แต่ที่สำคัญนางไม่อยากเป็นต้นเหตุให้บุรุษผู้นี้จมลงสู่ท้องอเวจีไม่มีวันเห็นแสงสว่างแห่งพระธรรม ความนิ่งความอ่อนโยนทำให้บุรุษผู้ร่านราคะนั้นตายใจและผ่อนคลายลงไปได้บ้าง บุรุษผู้บ้ากามนั้นก็พลันหันมามองนางเหมือนตุ๊กตาที่เด็กนิยมชมเล่น แม่นางผู้มีความงามสุดที่จะเปรียบเปรย บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อให้นางเกิดกำหนัดและโอนตาม แม่นางช่างนิ่งงามเหมือนตุ๊กตาซึ่งนายช่างทองที่ฝีมือวิจิตรบรรจงสร้างขึ้น รูปร่างและจิตใจเป็นประดุจเทพอักษร ไม่มีหญิงใดงามเท่า ถ้าแม่นางทำตามใจของข้าพเจ้า แม่นางจะได้รับความสุข โจรล่าสวาทหนุ่มพูดจบลงแล้วยืนมองใบหน้าอันงามของสุภาภิกษุณี

    อาจจะเป็นเพราะบุญบารมีของพระบรมศาสดากระมังที่ทำให้นางยังไม่ถูกปลุกปล้ำข่มขืน นางคิดอยู่ภายในใจพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า "ท่านพ่อหนุ่ม การครองเรือนเป็นเรื่องยาก เรือนที่ครองไม่ดีย่อมก่อทุกข์ให้มากหลาย การอยู่ร่วมกับคนพาลเป็นความทุกข์อย่างเดียว เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็ก หรือโซ่ตรวนใดๆ ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำคือบุตร ภรรยา สามี ทรัพย์สมบัตินี้แล รึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่หย่อนๆ แต่แก้ได้ยาก คือบุตร ภรรยา สามี และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ เหล่านี้เป็นเหยื่อของโลก

    เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกไม่ได้เลย ไม่มีรูปใดที่รัดรึงตรึงใจของบุรุษได้เท่ากับรูปแห่งสตรี และไม่มีรูปใดที่จะรัดรึงตรึงใจของสตรีได้มากเท่ากับรูปแห่งบุรุษ แนะ ท่านบุตรแห่งนายช่างทอง เสียงเบาๆ แห่งนางภิกษุณีผู้กำลังกล่อมเกลาบุรุษให้คลายความกำหนัดเอื้อนเอ่ยขึ้น นางพูดพร้อมพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้าเพื่อระลึกถึงพระศาสดา มือน้อยๆ ที่เรียวงามของนางบรรจงวันทาและอัญชลีทำให้บุรุษอลัชชีผู้ไม่ละอายเกรงกลัวไปได้บ้าง

    ท่านหนุ่มเอย บุคคลผู้ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้ ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายเวียนทุกข์อยู่ร่ำไป แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ก็ย่อมประสบทุกข์อยู่ร่ำไป กิเลส กรรม และวิบากมีอำนาจควบคุมอยู่โดยทั่ว ไม่เลือกว่าเพศและภาวะใด แน่ะ ! ท่านหนุ่ม มนุษย์ผู้หลงใหลอยู่ในโลกิยารมณ์ ผู้เพลินอยู่ในความบันเทิงสุขอันสืบเนื่องมาจากความมึนเมาในกาม ทรัพย์ สมบัติ ชาติตระกูล ความหรูหราฟุ่มเฟือย ยศศักดิ์ และเกียรติอันจอมปลอมในสังคม ที่อยู่อาศัยอันสวยงาม อาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต้องใส่ อำนาจและความทะนงตน

    ทั้งหมดนี้ทำให้บุคคลมีนัยตาฝ้าฟางมองไม่เห็นความงามแห่งพระสัทธรรมและความจริงแห่งชีวิต วัตถุอันวิจิตรตระการตานั้นช่วยเป็นเชื้อให้ความทะยานอยากโหมโรง วัตถุอันเป็นที่กำหนัดส่อให้ราคะกำเริบนั้น ถ้าเราไม่รู้จักตัดใจก็จะนำภัยมาสู่เราได้และกลับกลายเป็นว่ายิ่งได้มากยิ่งอยากใหญ่ แม้จะมีเสียงเตือนและเสียงเรียกร้องอยู่ตลอดเวลาว่าศีลธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนสังคมและคุ้มครองโลก แต่บุคคลผู้รับรู้และพยายามประคับประคองศีลธรรมก็มีน้อยเกินไป สังคมมนุษย์จึงวุ่นวายและกรอบเกรียมอย่างน่าวิตก"

    นางพูดจบแล้วเงยหน้าขึ้นดูบุรุษนั้นหน่อยหนึ่ง ความดีและคนดีประดุจน้ำที่สะอาด สุภาภิกษุณี เธอเป็นหญิงที่ดี สะอาดทั้งกาย วาจา ใจ น้ำที่สะอาดย่อมเป็นที่ยินดีของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายฉันใด กาย วาจา ใจที่สะอาดของนางย่อมทำให้นางปลอดภัยได้ฉันนั้น ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว บุคคลย่อมขาดอำนาจเพราะปราศจากการประพฤติธรรม แต่ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่พินาศไปเพราะเหตุใดๆ

    นางจึงพูดขึ้นต่อไปว่า "ท่านหนุ่มเอย กลิ่นกายก็คือกลิ่นตัว มันจะมีประโยชน์อะไร เป็นของไม่สะอาดน่ารังเกียจที่สุด กลิ่นความดี กลิ่นแห่งเกียรติคุณต่างหาก สัตบุรุษสรรเสริญว่าสามารถหอมทวนลมและตามลมไปได้ ส่วนกลิ่นอะไรอื่นที่ท่านคลั่งไคล้มีแต่จะไปตามลมและเจือจางไปในเร็วพลันเพียงเท่านั้น คนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทุกทิศ กลิ่นจันแดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอกมะลิ จัดว่าเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม แต่ยังสู่กลิ่นศีล กลิ่นคุณความดีไม่ได้ กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวล พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่วัดเชตวันใกล้ๆ นี้เองว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุหวังจะให้เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีแล้วละก็ พึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด"

    ชายหนุ่มยืนนิ่งฟังนางภิกษุณีสาธยายแบบทัพพีไม่รู้รสแกง "ท่านเอยกิเลสนั้นมีกลมายาเล่ห์เหลี่ยมเสมอ บางทีทำเป็นรักแต่กลับชัง บางทีทำเป็นชังแต่กลับรัก บางทีต่อหน้าทำเป็นดีแต่ลับหลังกลับเชือดเฉือน กิเลสมักมีเล่ห์เหลี่ยมและกลมายาเสมอ" เขาจึงพูดขึ้นว่า "แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินรีเอย เชิญท่านมาอยู่ครองเรือนกับข้าพเจ้าเถิด แม่นางจงละการอยู่โดดเดี่ยวเพียงคนเดียว การนอนคนเดียว ละทุกข์ในเพศพรหมจรรย์เสีย มาสิ มาเสพสุขด้วยกามสมบัติ มาอยู่ครองเรือนกัน คนทั้งหลายในโลกนี้ เขาก็อยู่ครองเรือนกัน ท่านจะอยู่เดียวดายไปทำไม แม่นางจะได้อยู่ในปราสาทอันปราศจากลมพาล เป็นเสมือนวิมาน มีสาวใช้คอยทำการรับใช้ จะได้นุ่งห่มผ้าแคว้นกาสีเนื้อละเอียด แล้วประดับตบแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ และเครื่องลูบไล้ผิวพรรณ แม่นางเอย ! ดอกอุบลที่ผลุบโผล่ชูพ้นน้ำ ตั้งอยู่บานแล้วไม่มีหมู่มนุษย์ชมเชยแล้วฉันใด แม่นางก็เป็นสาวพรหมจารีฉันนั้น เมื่อส่วนแห่งเรือนร่างของแม่นางยังไม่มีใครชมเชยก็จะชราล่วงโรยไปเสียเปล่าๆ"
    ไม่ว่านางสุภาภิกษุณีจะอธิบายอย่างไร ท่านหนุ่มก็แก้ปมได้อย่างนั้น ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแสโลก แต่กิเลสมักเลื่อนไหลลงสู่ที่ต่ำและวิ่งตามกระแสโลก ผู้ประพฤติธรรมกับผู้ประพฤติกิเลสจึงเดินสวนทางกันไม่มีวันที่จะจับมารวมกันได้ นางภิกษุณียินดีพอใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อธรรม แต่ในทางตรงกันข้าม ชายหนุ่มกับเป็นผู้มีความหลงยินดีพอใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อกิเลส นางภิกษุณีไม่รู้จะทำประการใด จะไปก็ไม่ได้ นางอยากจะหนี หนีไปให้พ้น หนีให้พ้นจากคนใจบาป แต่นางก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

    นางจึงเอ่ยขึ้นว่า "ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง กรรมอันใดที่ทำไปแล้วต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง ต้องมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาเสวยผลแห่งกรรมนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ดี ควรละเว้นเสีย ท่านพ่อหนุ่ม ท่านคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เคยเป็นกษัตริย์ สละราชสมบัติออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระองค์ยังอยู่ในวัยหนุ่ม มีเกศายังดำสนิท ถูกแวดล้อมด้วยสตรีล้วนแต่สะคราญตา เป็นที่น่าปรารถนาของบุรุษผู้ตัดอาลัยในบ่วงกามมิได้

    พระองค์ทรงเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย จึงสละสมบัติ บรมจักร และนางผู้จำเริญตา ออกแสวงหาโมกขธรรมแต่เดียวดาย เที่ยวไปอย่างไม่มีอาลัย ปลอดโปร่ง เหมือนบุคคลมีหนี้แล้วพ้นจากหนี้ เคยถูกคุมขังแล้วพ้นจากที่คุมขัง เคยเป็นโรคแล้วหายจากโรค ท่องเที่ยวอยู่เพียงเดียวดาย และทำความเพียรอย่างเข้มงวด ไม่มีใครจะทำได้ยิ่งกว่าอยู่เป็นเวลา 6 ปี พระองค์ได้ประสบชัยชนะอย่างใหญ่หลวงในชีวิต ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สงบ เยือกเย็นที่สุด ล่วงพ้นมารและบ่วงแห่งมารทั้งปวง ทั้งที่เป็นทิพย์และเป็นของมนุษย์"

    สุภาภิกษุณีพูดจบลง คอยดูท่าทีของบุรุษนั้น ดูเขาเหมือนจะคิดได้แต่ไม่ยอมทำตาม สตรีเป็นเพศที่อ่อนแอกว่ามีหรือที่ปุถุชนคนใจหยาบเช่นนี้จะเชื่อฟังแต่โดยง่าย นางจึงกว่าย้ำอีกว่า

    "ท่านพ่อหนุ่ม ความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมักจะมีความทุกข์ อันร่างกายของคนเรานี้ไม่มีส่วนไหนที่พอจะน่ารักและทนุถนอมให้คงทนได้เลย อันร่างกายนี้อีกไม่นาน ฟันก็หัก ผมก็หงอก หนังเหี่ยวๆ ยานๆ มีอาการทรุดโทรมให้เห็นอย่างเด่นชัดเหมือนเกวียนที่ชำรุดแล้ว ชำรุดอีก การแตกสลายย่อมจะมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง อันร่างกายนี้อีกไม่นานนักก็เปื่อยเน่าอาดูร ไม่สะอาด มีสิ่งสกปรกไหลเข้าออกอยู่เสมอ ถึงกระนั้นก็ตามมันยังเป็นที่ยินดีพอใจของผู้ไม่รู้ความจริงข้อนี้

    ร่างกายนี้ไม่นานนักก็จะนอนทับถมแผ่นดิน ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณครองแล้วก็ถูกทอดทิ้งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่า อันเขาทิ้งเสียแล้วโดยไม่ใยดี แน่ะ ! ท่านผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง ในร่างกายนี้เต็มไปด้วยซากศพ อันจะถูกทอดทิ้งไว้ในป่าช้ารังแต่จะรกป่าช้า ร่างกายนี้มีการแตกสลายไปเป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ท่านพ่อหนุ่ม ข้าพเจ้าขอถามท่านจริงๆ ท่านเห็นสิ่งใดในตัวข้าพเจ้าแล้วยินดีพอใจ ขอท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เถิด"

    เมื่อนางภิกษุณีมีวาทีที่เปิดทาง ดูเหมือนหนุ่มเจ้าชู้จะได้ใจ เขารีบตอบทันทีว่า

    "นัยน์ตาของแม่นางงาม นัยน์ตาของแม่นางงามที่สุด เหมือนนัยน์ตาแห่งเนื้อทราย เหมือนนัยน์ตาของนางกินรีที่เที่ยวไปภายในภูเขา ความรักของข้าพเจ้าเกิดขึ้นอย่างแรงกล้าเพราะเห็นดวงตาทั้งคู่ของแม่นาง กามคุณย่อมกำเริบแก่ข้าพเจ้าโดยยิ่งเพราะเห็นหน้าและนัยน์ตาของแม่นาง ดวงตาของแม่นางเหมือนปลายดอกอุบลแดง ปราศจากมลทิน งามดั่งแผ่นทองคำ แน่ะ ! แม่นางผู้เป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ผู้มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ทั้งยาว ทั้งกว้าง แม้ข้าพเจ้าจะเดินทางไกลสักเท่าใด ก็จะไม่นึกถึงอะไรอื่น จะนึกถึงดวงตาทั้งคู่ของแม่นางเพียงเท่านั้น แม่นาง สิ่งอื่นอันจะเป็นที่รักยิ่งไปกว่าดวงตาของแม่นางไม่ได้มีอีกแล้ว"

    เขากล่าวจบลงพร้อมกับจ้องมาที่ดวงตาคู่งามของสุภาภิกษุณีแบบไม่กะพริบ จนนางต้องหลบและก้มลง

    แน่ะ ! ท่านผู้ไม่เห็นภัยในโทษของกาม นางกล่าวขึ้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย อันแสดงถึงดวงใจที่มีกำลัง เป็นกำลังแห่งธรรมที่นางบ่มบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายแสนชาติ

    "ท่านหนุ่ม ! ท่านมาปรารถนาเราผู้เป็นธิดาของพระพุทธเจ้า ชื่อว่าปรารถนาจะดำเนินไปโดยทางที่ผิด ชื่อว่าแสวงหาดวงจันทร์มาเป็นเครื่องเล่น เหมือนบุรุษผู้โง่เขลาปรารถนาจะกระโดดขึ้นภูเขาสิเนรุที่สูงระฟ้า ท่านพ่อหนุ่ม ข้าพเจ้าขอพูดจริงๆ ความกำหนัดในอารมณ์ใดๆ ไม่มีในข้าพเจ้าทั้งในโลกนี้และเทวโลก เพราะว่าสภาพอันน่ารื่นรมย์แม้ทุกชนิดไม่มีแก่ข้าพเจ้าเพราะถูกกำจัดหมดสิ้นด้วยมรรคญาณ สภาพอันน่ารื่นรมย์เหล่านั้นถูกทิ้งเหมือนขยะที่เขาทิ้งลงในหลุมถ่านเพลิง ส่วนหญิงใดไม่ได้รับคำสอนของพระศาสดา ท่านจงไปเล้าโลมหญิงเช่นนั้น ท่านมาเล้าโลมเราผู้รู้ตามความเป็นจริงย่อมจะลำบากเปล่าๆ เพราะว่าสติของเรามั่นคงดีแล้วทั้งในการไหว้ ทั้งในสุขและทุกข์

    แน่ะ ! บุรุษผู้มืดบอด ท่านเอาใจเข้าไปยึดอัตภาพอันว่างเปล่าซึ่งเป็นเหมือนพยับแดดที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าโดยอาการลวง เหมือนต้นไม้ทองที่ปรากฏในความฝัน พอตื่นขึ้นมาก็พลันหาย ท่านพ่อหนุ่ม ดวงตานี้เป็นดั่งฟองน้ำ ปรากฏเหมือนโพรงไม้มีฟองน้ำตั้งอยู่กลางตา เกิดเป็นต่อมดำๆ มีขี้ตาและน้ำตาไหลออกอยู่เสมอ ไม่เห็นจะมีอะไรที่น่าปรารถนาและหวงแหน"

    นางภิกษุณีกล่าวจบลง ด้วยความกล้าแกร่งแห่งใจ แห่งอินทรีย์ที่ฝึกมาเป็นอย่างดี ร่างกายและเลือดเนื้อไม่ได้มีค่าเท่ากับธรรม นางเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สิ่งอื่นในเรือนร่างนี้ไม่มีค่าเท่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์เป็นกัลยาณมิตรสำหรับนาง นางจึงถามบุรุษหนุ่มนั้นขึ้นว่า

    "ท่านพ่อหนุ่ม ท่านต้องการและรักนัยน์ตาของข้าพเจ้าจริงหรือ"

    "ใช่แล้วแม่นาง ข้าพเจ้ารักนัยน์ตาของท่าน" ขณะบุรุษหนุ่มกล่าวจบลง ทันใดนั้นเอง นางสุภาภิกษุณีใช้นิ้วมือควักดวงตาทั้งสองออกจากเบ้าตา แล้วยื่นให้หนุ่มเจ้าชู้ทันทีพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า "ท่านหนุ่มเชิญท่านเอาดวงตาที่ท่านว่างามนี้ไปเถิด เราให้ดวงตานี้แก่ท่าน"

    บุรุษหนุ่มนั้นมองเห็นพระเถรีควักนัยน์ตายื่นมาให้ตนตามความต้องการ ราคะความกำหนัดยินดีหายไปในทันใด พร้อมกับก้มลงกราบแสดงคารวะธรรมประดุจอสรพิษร้ายถูกถอนพิษ รีบกล่าวคำขอโทษในทันที "ข้าแต่แม่หญิง ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ข้าแต่แม่นางพรหมจารีผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่" เขากล่าวขึ้นพร้อมกับพนมมือแสดงอาการศิโรราบ

    "ขอความไม่มีโรคพึงมีแก่แม่นางเถิด เบื้องหน้าแต่นี้ไปข้าพเจ้าจักไม่มีการประพฤติอนาจาร จักไม่ทำอย่างนี้อีกเป็นอันขาด" บุรุษหนุ่มแสดงอาการหวาดกลัว คำพูดก็สั่นเครือเหมือนจะไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ตนมองเห็น

    แน่ะ ! ท่านหนุ่มผู้หลงผิด พระเถรีกล่าวขึ้นทั้งแสดงเมตตาจิตออกมาทางดวงหน้าและกิริยา "ท่านมากระทบกระทั่งบุคคลเช่นข้าพเจ้าก็เหมือนก่อกองไฟที่ลุกโชน เหมือนพยายามจับงูพิษร้าย ความสวัสดีคงมีแก่ท่านบ้างดอกนะ ข้าพเจ้ารับขมาท่าน ขอท่านจงเป็นสุข เป็นสุข"

    นางพูดจบก็เดินเลี่ยงบุตรแห่งนายช่างทองผู้หื่นกามนั้นไป ไปยังวัดเชตวันที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ น่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์จริงๆ พระศาสดาทรงประทับรอขณะที่นางกำลังเดินทางมา นางเห็นพระศาสดาและพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก พร้อมด้วยพุทธบริษัทหมู่ใหญ่กำลังฟังธรรมอยู่ในโรงธรรม ด้วยดวงตาคือญาณ นางคลานเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา เห็นพระมหาปุริสลักษณะอันบังเกิดด้วยบุญสมภารอันสูงสุด นางปลื้มปีติบันเทิงอยู่ในธรรมที่พระศาสดาทรงแสดง

    พระองค์ทรงแสดงบทธรรมสั้นๆ ว่า "บัณฑิตไม่ควรประกอบกรรมชั่วเพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัว" พอพระศาสดาแสดงพระธรรมเทศนาจบลง ตาของนางที่มีเลือดไหลอาบอยู่นั้น ค่อยๆ กลับเป็นปกติและหายเป็นปกติดังเดิม นี่เป็นเพราะเหตุอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากพุทธานุภาพ นางอุทานเบาๆ ด้วยความปีติตื้นตันใจ โอ ! พุทธานุภาพ ช่างน่าอัศจรรย์ใจอะไรเช่นนั้น นางพิจารณาธรรมอยู่ไม่นานนักก็สำเร็จเป็นพระอรหันตี เป็นภิกษุณีพุทธสาวิกาผู้หาได้ยากในโลก และโลกยังจะต้องจารึกชื่อนางไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาสืบไปนานเท่านานว่านางสุภาภิกษุณีนี้เป็นสตรีผู้แกร่งกล้าและหาได้ยากในโลก



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    http://www.geocities.com/thaniyo/

    • Update : 17/4/2554
    © Copyright 2011 www.watbangwaek.com All rights reserved