คำว่า 'คราส' มีความเป็นตามพจนานุกรม
คำว่า 'คราส' มีความเป็นตามพจนานุกรม ว่า 'กิน' คนสมัยโบราณเขียนว่า คาธ เช่น สุริยคาธ จันทรคาธ โดยมาจากคำภาษาบาลี ปัจจุบัน ใช้ว่า สุริยคราส และ จันทรคราส เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่คนโบราณ มองเห็นตามปรากฏการณ์ที่พระอาทิตย์และพระจันทร์ถูกบดบัง เหมือนถูกกิน
กรณีจันทรคราส ชาวบ้านเรียกอีกอย่างว่า กบกินเดือน เนื่องจากกบ (รวมถึงพวกเขียด คางคก อึ่งอ่าง) เป็นสัญลักษณ์ของฝน ความอุดมสมบูรณ์ คนโบราณเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการบอกเหตุดีร้ายหรือทำนายทายทักล่วงหน้าถึงความเป็นไปของธรรมชาติ ลักษณะการคายเข้า-ออกของกบกินเดือน จึงมีผลต่อการเกิดฝนและความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร
เรื่องกบกินเดือนนี้มีนิทานหลายเรื่องที่เล่าแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น นิทานล้านนา เล่าว่า ในสมัยก่อนพระเจ้าเหา มีครอบครัวหนึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่นอกเมือง ครอบครัวนี้ พ่อแม่มีลูกสาว 2 คน พ่อแม่ช่วยกันอบรมลูกในการเป็นแม่บ้านที่ดี เช่น การจัดการบ้านการเรือน ความประพฤติ กิริยามารยาท ตลอดจนการทำอาหาร
อยู่มาวันหนึ่งพ่อแม่บอกให้ลูกสาวทั้งสองคนไปทำอาหารเพื่อจะได้ทดสอบดูฝีมือ ทั้งสองคนก็เข้าไปในครัวแล้วช่วยกันทำอาหารจนเสร็จ แต่ในช่วงชิมรสชาติอาหารเห็นไม่ตรงกัน จึงต่อสู้กันรุนแรงหยิบอุปกรณ์ทำครัวทำร้ายกันถึงขั้นตายทั้งคู่ เมื่อทั้งสองตายไปแล้ว ยมบาลนำเอาวิญญาณของทั้งสองไปพิพากษาและตัดสินว่า ให้คนพี่ไปเกิดเป็นเดือน ส่วนคนน้องไปเกิดเป็นกบ
สุริยคราส
ปรากฏว่าทั้งสองยังอาฆาตกันอยู่อีก เมื่อถึงกลางคืนหากมีโอกาสพบกันเข้าอีก จึงไม่มีใครยอมใคร เกิดปรากฏการณ์ที่น้องกบกินพี่เดือน นอกจากเรียกปรากฏการณ์จันทรุปราคา ว่า กบกินเดือนแล้ว ยังเรียกว่า ราหูอมจันทร์ ด้วย ส่วนสุริยุปราคา บางครั้งก็เรียกว่า ราหูอมพระอาทิตย์ เป็นต้น
โดยมีเรื่องเล่าว่า พระราหูเดิมเป็นอสูร แต่เมื่อเวลากวนน้ำอมฤต ได้แปลงรูปเป็นเทวดา พระอาทิตย์กับพระจันทร์ ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันทักท้วงพระนารายณ์ว่า มีอสูรอีก 1 ตนได้กินน้ำอมฤตแล้ว พระนารายณ์จึงตัดเศียรอสูรนั้นเพื่อลงอาญา แต่อสูรนั้นดื่มน้ำอมฤตแล้ว จึงไม่ตาย
พระนารายณ์เห็นเป็นเช่นนั้น จึงตัดนามภาคเศียรว่า ราหู ให้อยู่ทางที่ลับแห่งจันทรโคจร ตั้งนามกายภาคว่า เกตุ ให้อยู่ทางที่แจ้งแห่งจันทรโคจร พร้อมอนุญาตว่าให้ราหูมีเวลาได้เข้าใกล้พระอาทิตย์ พระจันทร์ และกระทำให้มัวหม่น ร่างกายซูบผอมคลำไปเพื่อแก้แค้น
ในทางข้อมูลวิทยาศาสตร์ สุริยคราส เป็นปรากฏการณ์เมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกัน โดยมี ดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีดิถีตรงกับจันทร์ดับ เมื่อสังเกตจากพื้นโลกจะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ โดยอาจบังมิดหมดทั้งดวงหรือบางส่วนก็ได้
ในแต่ละปีจะเกิดสุริยุปราคาบนโลกได้อย่างน้อย 2 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 ครั้ง ในจำนวนนี้อาจไม่มีสุริยุปราคาเต็มดวงเลยก็ได้ หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง ส่วนจันทรคราสคือปรากฏการณ์ที่ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ เคลื่อนที่มาอยู่ในแนวระดับเดียวกันพอดี จนทำให้ดวงจันทร์ผ่านเงาของโลกซึ่งทอดยาวออกไปในอวกาศ หากดวงจันทร์ทั้งดวงเคลื่อนผ่านเข้าไปในเงามืด เรียกว่าจันทรุปราคาเต็มดวง